สนทนาวิตตสูตร ตอนที่ 2


    สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๒

    ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ แม้ว่ามีสิ่งที่ทำให้เราสามารถที่จะเห็นว่าขณะนั้นเป็นศรัทธา เพราะฉะนั้นสภาพธรรมจริงๆ แม้ว่ามีที่ทรงแสดงไว้ด้วยพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณถึง ๔ เพียงอย่างเดียว แต่ยังแสดงอีกมากเลยเดี๋ยวก็จะถึงอีกเยอะแยะ แต่เราสามารถที่จะรู้ได้แค่ไหน จะเข้าใจได้แค่ไหน อย่างน้อยก็คือสัก ๑ อย่างว่า ศรัทธาเป็นโสภณเจตสิก ที่ต้องเกิดกับกุศล และไม่ใช่ความเชื่อ ไม่ใช่ทิฏฐิ ไม่ใช่ความเข้าใจถูกหรือปัญญา แต่ว่าเป็นความผ่องใสที่เกิดขึ้นเป็นไปในกุศล ตั้งมั่นในกุศล ขณะนั้น จะน้อยจะมากอย่างไรก็ตั้งแล้วในกุศลในขณะนั้น

    ผู้ฟัง แล้วก็ยังยากที่จะสติระลึกรู้ได้ด้วยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยการเข้าใจ และการฟังอย่างมั่นคง ซึ่งในขณะนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่ว่าต่อไปข้างหน้าอีกสัก ๑๐ ปีก็คงจะมากขึ้นกว่านี้อีก เหมือนอย่างในอดีตกาลท่านพระสารีบุตรในอดีต ท่านก็จะเป็นอย่างนี้ก็ได้ ถอยไปกี่แสนกัป และปัญญาของท่านก็ค่อยๆ สะสม เราคงไม่ต้องเอาถึงพระสารีบุตร ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมท่านหนึ่งท่านใด ก็ต้องมาจากความไม่รู้ และค่อยๆ รู้ขึ้น

    ผู้ฟัง เพราะว่าถ้าเกิดปริยัติเรายังไม่ค่อยกระจ่างแล้ว ก็จะหมิ่นเหม่ได้ง่ายว่าศรัทธาเป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราฟัง สนทนากันเพื่อให้เกิดความเข้าใจจริงๆ ว่าศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่เป็นโสภณสาธารณเจตสิต ต้องเกิดกับจิตฝ่ายดีทั้งหมด คุณวรศักดิ์จะรู้ทั่วอย่างพระอรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงไม่ได้ ใช่ไหม หรือว่าจะท่านพระสารีบุตรก็ไม่ได้ หรือว่าพระอรหันต์ในครั้งอดีตก็คงไม่ได้ เพราะฉะนั้นกำลังของเราขณะนี้มีแค่ไหน เราก็ค่อยๆ มีความเข้าใจที่มั่นคง เพราะว่าถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคง ไปพบข้อความในพระไตรปิฎก จะทำให้เราเข้าใจผิดได้ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ผลีผลาม รอบคอบ แล้วถ้าเป็นสัจธรรมก็คือว่าสามารถที่จะเข้ากันได้กับข้อความอื่นๆ และก็สามารถที่จะเข้าใจได้โดยลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนั้น

    ผู้ฟัง เข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนั้นยาก

    ท่านอาจารย์ ยากไม่ง่าย แต่ผู้ที่เข้าใจแล้วมี แล้วทำไมเราศึกษาให้เป็นโมฆะ หรือเราศึกษาเพื่อที่จะไม่เป็นโมฆะ วันหนึ่งเราก็สามารถจะเข้าใจอย่างนั้นได้

    อ. กฤษณา ตอนนี้ก็ขอเรียนสรุปความเข้าใจไปพร้อมกัน ตั้งแต่เรื่องของลักษณะของศรัทธาก็จะเป็นความผ่องใสที่หยั่งลงตั้งมั่นด้วยดี จึงไม่หวั่นไหวในกุศลธรรม ก็เป็นลักษณะของศรัทธา ส่วนกิจหน้าที่ของศรัทธาก็คือทำให้สัมปยุตตธรรมธรรมคือธรรมที่เกิดขึ้นร่วมกันพร้อมกันนั้นผ่องใส หรือว่ามีการแล่นไปสู่ความเป็นกุศลเป็นกิจหน้าที่ของศรัทธา ส่วนอาการปรากฏของศรัทธาก็คือมีความไม่ขุ่นมัว หรือว่ามีการน้อมไปโอนไปสู่ความเป็นกุศล นี่ก็เป็นอาการปรากฏของศรัทธา

    อ. กุลวิไล พูดถึงว่าอาการปรากฏของศรัทธาที่บอกว่า มีความไม่ขุ่นมัวเป็นอาการปรากฏ หรือว่ามีความน้อมไปในกุศลเป็นอาการปรากฏ ถ้าขณะนั้นกุศลจิตเกิดขึ้น ความผ่องใสในที่นี้ก็คือความไม่ขุ่นมัว ขณะนั้นก็คือการที่จิตนั้นเป็นไปในกุศล ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่แสดงให้เห็นว่าแม้ธรรมมีเกิดดับสลับอย่างไรก็รู้ไม่ได้ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด แม้ในขณะนี้ เห็น ต่อจากนั้นเป็นกุศลเป็นอกุศล ฟัง ต่อจากนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็เป็นเรื่องที่เราจะมีการศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมว่าแม้มี และทรงแสดงไว้โดยละเอียด การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับขั้นจริงๆ จากการเริ่มค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรม เพื่ออะไร ศรัทธาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครคนหนึ่งคนใดเลย ทั้งหมดต้องไปถึงความเป็นอนัตตา ทั้งหมดที่ฟัง ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าเป็นอนัตตาจริงๆ เท่านั้น จนกว่าจะมีสติสัมปชัญญะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมทีละลักษณะ

    ผู้ฟัง กราบท่านจะหนักเมื่อพูดถึงว่า ปีติ เกิดได้ทั้งอกุศลจิตและกุศลจิต แต่ขณะที่สติปัฐานเกิดระลึกรู้ก็รู้ลักษณะของปีติ มันไม่ได้เกี่ยวเลยว่าเกิดกับอะไรใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ลักษณะของสภาพธรรมใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และลักษณะนั้นก็มี ๒ อย่างซึ่งลักษณะก็ต่างกันจริงๆ ยังขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตากับเห็นจะเป็นอย่างเดียวกันไม่ได้ แต่ฟังเท่าไหร่ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ก็ไม่สามารถจะรู้ว่ามีสภาพธรรมที่มีลักษณะต่างกัน ๒ อย่าง อย่างแข็งมีลักษณะของแข็งเปลี่ยนไม่ได้ แต่มีสภาพรู้แข็ง เพราะฉะนั้น ๒ อย่างนี้ก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นก็เริ่มที่เมื่อสติสัมปชัญญะเกิด มีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏลักษณะนั้นเองแสดงความเป็นอนัตตาหรือแสดงความเป็นธรรม แต่ขึ้นอยู่กับปัญญาว่ารู้หรือเปล่าว่าขณะนั้น เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่ศรัทธาจะเกิด หรือว่าอกุศลเจตสิกจะเกิดก็ตามแต่ รู้หรือเปล่าว่าเป็นธรรม ก็มีปัจจัยเกิดแล้วก็ปรากฏตรงตามที่ทรงแสดงทุกอย่าง แต่เริ่มจากว่า ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็จะข้าม แล้วก็จะคิดว่าจะต้องเป็นการไปรู้อย่างอื่น แต่ว่าตามความเป็นจริง สิ่งที่มีนี่แหละเป็นธรรมที่จะต้องรู้

    ผู้ฟัง ขณะที่สีปรากฏก็แสดงว่าต้องมีจิตเห็นเกิด อันนี้ก็แล้วแต่แล้วว่าสติสัมปชัญญะจะเกิดระลึกอะไร ใช่ไหม จะระลึกเป็นสภาพรู้ ใช่ไหม ที่เห็น หรือจะระลึกเป็นลักษณะเป็นรูปที่เป็นอารมณ์ ตรงนี้ก็จะไปเจาะจงตรงไหนก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คือเข้าใจถูกในสภาพนั้นที่สติระลึก คือค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้แต่ลักษณะของนามธรรมขณะนี้ก็ค่อยๆ เข้าใจว่ามีต่างๆ เช่นสภาพรู้กำลังเห็นทางตาก็อย่างหนึ่ง สภาพรู้ที่กำลังได้ยินเสียงก็อีกอย่างหนึ่ง

    อ. ธิดารัตน์ จะพอสังเกตลักษณะของศรัทธาได้ ในลักษณะที่ว่าถ้าเป็นลักษณะที่ผ่องใสแล้วก็รู้สึกเบาสบาย ต่างกับอกุศลซึ่งเขาจะต้องมีติดข้องแล้วก็หนัก

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ศึกษา โลภะก็เบาสบายเหมือนกัน แต่ก็ไม่กังวลไม่ใช่ลักษณะของโทสะ เพราะฉะนั้นเพียงแต่คำว่าเบาสบาย จะบอกได้ไหมว่าขณะนั้น เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เดี๋ยวคนที่ทำสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิเขาก็บอกเขาเบาสบาย เพราะว่าลักษณะของสภาพธรรมละเอียดมาก อย่างอุทธัจจเจตสิก ที่เกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท ขณะนั้น รู้ไหมว่ากำลังสบายเพราะสมาธิ อุทธัจจะไม่สงบแล้ว

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอย่างนี้แสดงว่าลักษณะที่เป็นกุศลที่เบาสบาย ตรงนั้นรู้ได้ยากมากกว่าแล้ว

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นธรรมที่มีจริงขึ้นอยู่กับปัญญา ที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่มีเรา ตรงนี้หรือไม่ได้เลยทั้งหมด ที่ฟังก็เพื่อให้เข้าใจถูกว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง

    อ.กุลวิไล การที่เราศึกษาพระธรรมโดยเฉพาะเรื่องของลักขณาทิจตุกะ ประโยชน์ก็คือเพื่อให้เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่มีจริง เพื่อจะเป็นปัจจัยให้เวลาสติเกิดระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ มีจริงคือไม่ใช่เรา ที่จะต้องเข้าถึงความไม่ใช่เรา เพียงขั้นปริยัติยังแยกยาก แล้วก็ขณะที่ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดโดยที่ไม่มีการระลึกรู้เลย จะเข้าใจได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก่อนอื่น เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด จะรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมที่ต่างกับรูปธรรม ยังไม่ต้องไปรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นมหากุศลประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา หรือแม้สติที่เกิดขึ้นเขาเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปนึกถึงคำหรือเรื่องที่เราศึกษา แต่จากการศึกษาก็เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด และก็ระลึกลักษณะของสภาพธรรม และจะรู้ว่าขณะนั้นต่างกับขณะที่หลงลืมสติ นี้ก่อนอื่นเลยใช่ไหม และสภาพธรรมนั้นดับแล้ว ยังไม่ทันจะไปรู้ถึงศรัทธาหรือว่ายังไม่ทันจะไปรู้ถึงลักษณะหนึ่งลักษณะใด แล้วปัญญาก็ค่อยๆ รู้ลักษณะที่เป็น นามธรรมหรือรูปธรรม เมื่อสติสัมปชัญญะเกิดอีก และภายหลัง จึงจะเห็นความต่างได้ เทียบกับผู้ที่เป็นพระโสดาบัน กับพระสกทาคามี กับพระอนาคามี สภาพธรรมไม่เปลี่ยนจากที่เคยเป็นปุถุชน โลภะ ทุกคนก็ยังมีจนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นเวลาที่เป็นพระโสดาบัน แล้วมีโลภะ ลักษณะของโลภะก็ไม่เปลี่ยน แต่ความรู้ของท่านเพิ่มขึ้นเพราะขณะนั้นไม่มีทิฏฐิจะเกิดร่วมที่จะทำให้เห็นผิด แต่ว่ายังมีลักษณะของโลภะที่ละเอียดขึ้น ที่จะทำให้เกิดหิริและโอตัปปะละเอียดขึ้น เพราะว่าอย่างเรา หยาบแค่ไหน ความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ บางคนก็อาจจะบอกว่าเขาสะสมอุปนิสัยที่จะไม่ค่อยมีความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ แต่ลึกๆ ที่สะสมมาที่ยังไม่ได้ปัจจัยพอบ้างกาลเท่านั้นที่ไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีปัจจัยพร้อมเมื่อไหร่ ก็ปรากฏได้ แต่ถ้าจะด้วยปัญญาจริงๆ ที่รู้แล้วดับเป็นสมุทเฉท ก็จะต้องมีความละเอียดเกินกว่านั้น

    คือเราฟังธรรมแล้วก็ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งถูกต้อง เท่าที่กำลังความสามารถหรือปัญญาของเราจะมีได้ นี่ขั้นปริยัติ และเรารู้ว่านี่คือเรื่องราว เราจะเข้าใจได้ละเอียดลึกซึ้งถูกต้องสอดคล้องไม่คลาดเคลื่อนกับที่ต่างๆ มากน้อยแค่ไหน นั้นก็เป็นเรื่องของเหตุผลกับการสะสม แต่เราก็ยังรู้ว่านั่นคือปริยัติ และเวลาที่มีสติสัมปชัญญะเกิด ตอนนี้เป็นผู้ตรงๆ ที่จะรู้ว่าขณะนั้นต่างกับขณะที่สติสัมปชัญญะไม่ได้ระลึก ไม่มีลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดปรากฏ และก็เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่าขณะนั้นนะรู้แค่ไหน ต้องอบรมไปอีกเท่าไหร่ และการรู้ที่จะรู้เพิ่มขึ้นคือ ค่อยๆ เห็นความต่างของรูปธรรมกับนามธรรม ที่จะรู้ว่าลักษณะที่เป็นรูปต่างกับลักษณะที่เป็นนาม เราฟังมาว่ารูปกับนามต่างกัน แต่ลักษณะที่ต่างไม่ปรากฏ จนกว่าสติสัมปชัญญะจะระลึก

    ท่านอาจารย์ ศรัทธาที่เป็นโสภณเจตสิกก็เกิดกับกุศลจิตทุกประเภท โดยทั่วไปแล้วการศึกษา ถ้าเราจะรู้ถึงความที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลจริงๆ ก็คืออยู่ที่สภาพของจิต เพราะว่าถ้าเรารู้โดยชื่อหรือว่าเรื่องราว ก็ไม่ใช่ขณะที่สภาพจิตนั้นเป็นกุศลจริงๆ เพราะฉะนั้นอย่างการที่เราจะพิจารณาว่าขณะใดเป็นกุศลหรือขณะใดไม่ใช่กุศล จากการศึกษาก็จะเป็นปัจจัยที่จะให้เราพิจารณาถูกต้อง และตรงลักษณะสภาพธรรมนั้น อย่างกรณีที่ว่าเรารู้ว่า ทางของกุศลนั้นมี ๑๐ ทางในบุญญกิริยาวัตถุ ในชีวิตประจำวันขณะใดที่เป็นไปในบุญญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ขณะนั้นแน่นอนต้องเป็นกุศล จากการศึกษาก็รู้ด้วยว่าต้องมีศรัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วย อันนี้ก็คือเป็นส่วนหนึ่งที่จะให้เรามีการพิจารณาที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องราวของสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่ว่า ถ้ามีคนที่เห็นผิด แล้วเราก็บอกเขามีศรัทธามาก ก็แสดงว่าไม่ถูกต้องใช่ไหม เพราะเหตุว่า ศรัทธาจะเกิดร่วมกับความเห็นผิดไม่ได้ ขณะใดที่เห็นผิด มีการประพฤติปฏิบัติผิด ขณะนั้นต้องเป็นอกุศล จะบอกว่าคนนั้นมีศรัทธา ก็ไม่ถูก นี่คือประโยชน์ของการเรียน

    ผู้ฟัง พูดถึงเรื่องศรัทธา สำหรับตัวเองก็ศึกษาธรรมมาพอสมควร แต่ว่าคนรู้สึกว่ารู้ได้ยากมาก สำหรับศรัทธาแล้ว พอเริ่มเข้าใจขึ้นบ้างเล็กๆ น้อยๆ หรือขณะที่ฟังธรรม ขณะที่เข้าใจ ก็เห็นความผ่องใสขึ้น แต่ตอนนี้ถ้าจะเปรียบกับขณะที่มีความสงสัย ขณะนั้นไม่ผ่องใสแน่นอน คิดเมื่อไหร่ก็ยังสงสัยอยู่นั้น แม้จะฟังธรรมกลับไปแล้วก็ยังสงสัยอยู่นั้น ขณะนั้นจิตไม่ผ่องใสแน่นอน ตอนนี้ก็เห็นความต่างกันกับ จิตที่เป็นกุศลและอกุศล

    ท่านอาจารย์ อันนี้ก็เป็นความถูกต้อง ซึ่งขณะนั้นจริงๆ ที่เห็นถูกคือสติ ต้องมีที่จะเข้าใจถูก แต่ว่าสตินี่ก็เป็นไปในเรื่องของการคิดก็มี ในเรื่องของความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น แต่ว่ายังไม่ถึงที่จะรู้ว่าเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความเจริญขึ้นของความเข้าใจที่ถูกต้องคือ ต้องถูกตั้งแต่การฟังการไตร่ตรอง

    ผู้ฟัง อันนี้ก็เป็นเรื่องจริง คือดิฉันมีกระเป๋าสตางค์ที่ใช้แล้วมันก็เก่าหน่อยแล้ว ก็เลยไปให้คนตาบอด คือคิดว่าคิดว่าเขาไม่เห็นความเก่า เมื่อวานนี้เอง แล้วปัจจุบันตอนนี้ก็ไม่ค่อยสบายใจ

    ท่านอาจารย์ ทำไม ให้แล้วก็น่าจะสบายว่าเราได้ให้ไปแล้ว

    ผู้ฟัง รู้สึกว่ามันมีจิตไม่ค่อยจะดีว่า ให้คนตาบอด เขาไม่ค่อยเห็นความเก่า อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ก็ดีแล้วนี่เขาก็ไม่รู้จริงๆ

    ท่านอาจารย์ กลัวคนอื่นที่เห็นเวลาเข้าไปอวด

    ท่านอาจารย์ อันนี้ก็เป็นเรื่องของจิตซึ่งวิจิตร ความคิดไม่มีใครสามารถที่จะห้ามได้ หรือไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะต่อไปจะคิดอะไร ไม่มีใครรู้ได้เลย เพราะว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัยทั้งหมด

    ผู้ฟัง พูดถึงเรื่องศรัทธา ก็กล่าวว่าขณะนี้ศึกษาเรื่องศรัทธาแต่ก็ไม่รู้ตัวศรัทธา ตอนนี้ขณะนี้ มันมีธรรมปรากฏถึงแม้จะไม่รู้ตัวศรัทธา ขณะนั้นอาจจะเป็นลักษณะของโทสะก็ได้ที่ไม่เข้าใจ หรือว่าเป็นเรื่องคิดนึกถึงเรื่องราว ตรงนี้ก็อบรมเจริญได้ไหมว่าสภาพธรรมใดปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นธรรม อย่างที่คุณสำราญกล่าวถึงเมื่อกี้นี้ก็ทุกคนก็คงจะสังเกตต่อไปได้ใช่ไหมว่า แต่ก่อนนี้เราทำอะไรเราก็ไม่ค่อยจะเห็นลักษณะของศรัทธา แต่ต่อไปเพราะเป็นกุศล เราจะเริ่มค่อยๆ รู้ว่าขณะนั้น เป็นสภาพของจิตที่ผ่องใส ต่างกับขณะที่ไม่ใช่กุศล

    อ. กุลวิไล ขออนุญาตสนทนากับพี่บง พูดถึงว่า อย่างกรณีที่เราให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดกับผู้ใด ขณะนั้นก็เป็นกุศลขั้นทานอันหนึ่ง เพราะว่าเราสามารถที่จะสละสิ่งนี้ได้ แต่โดยทั่วไปปุถุชนเราจะมีความกังวลกับสิ่งที่เราทำไป ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตที่เกิดขึ้น แต่จริงๆ แล้วผู้ที่ได้รับสิ่งของที่เราให้ไป ถ้าเราถามเขาจริงๆ แล้ว เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขณะนี้เป็นประโยชน์กับเขาแค่ไหน แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเขา ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าถึงแม้ก็ไม่เห็น แต่เขายังใช้ประโยชน์ได้ เพราะจริงๆ แล้วก็สำคัญอยู่ที่ว่าเป็นประโยชน์กับเขา ไม่เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ว่าขณะใดที่คิดอย่างนั้นแล้วจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ปัญญาก็สามารถที่จะเปลี่ยนได้ว่า เราให้เขาแล้วดีนะที่เขาได้ใช้ จะอย่างไรก็ตามแต่ คือคิดในทางที่ดี แล้วก็จิตก็จะไม่ขุ่นมัวได้

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่รู้ชัดว่าเป็นสภาพธรรมใด ผมก็ระลึกเป็นนามธรรมไปทั้งหมดเลย อย่างนี้จะตรงไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ชื่อ แต่ลักษณะนั้น ต่างกับรูป ลักษณะใดๆ ก็ตามที่ต่างกับรูปธรรมลักษณะนั้นเป็นนามธรรมทั้งหมด มีลักษณะให้รู้ได้เลย เพียงแต่เราไม่เรียกชื่อ

    ผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นกุศลอกุศลหรือว่าองค์ธรรมต่างๆ ผมก็ระลึกเป็นนามธรรม เพราะว่าการที่จะเข้าถึง แม้จะเรียนปริยัติก็ยังเข้าถึงยาก อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ ไป แล้วคุณเริงชัยก็จะรู้ว่าอีก ๒ ปี อีก ๓ ปี อีก ๕ ปีก็จะค่อยๆ ชินกับลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ข้อสำคัญก็คือ มีลักษณะปรากฏ แล้วเราก็ฟังธรรมมามากเรื่องของสิ่งที่ปรากฏ แต่เรายังไม่ชินกับลักษณะนั้นจริงๆ เช่นแข็งอย่างนี้ ก็มีปรากฏ แต่เรายังไม่ชิน พอเกิดระลึกที่แข็งก็สงสัยเรียกว่าคิดขึ้นมาว่าเป็นรูป แต่ความจริงลักษณะนั้นก็คือแข็ง ให้รู้ความเป็นธรรมของแข็ง แล้วยังมีลักษณะอื่นซึ่งจะทำให้เราค่อยๆ ชินในเมื่อสติสัมปชัญญะระลึกลักษณะอื่นต่อไป ก็มีความต่างของลักษณะต่างๆ ให้ดูว่าลักษณะของธรรมนั้นต่างกัน

    อ. ธีรพันธ์ การศึกษาธรรม การเรียนธรรมที่ท่านอาจารย์ก็ได้บรรยายเรื่องแนวทางเจริญวิปัสสนา เช่นเรื่องศรัทธา ถ้าเกิดไม่ศึกษาเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจในลักษณะของศรัทธาจริงๆ ได้เลย ก็อย่างที่ว่า ความเห็นผิดนี่อาจจะเป็นคิดว่าเป็นศรัทธาก็ได้ เพราะฉะนั้นเห็นคุณของสติปัฐานว่ามีคุณมาก ที่จะให้ผู้นั้นได้รู้ความจริงของสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริงที่ว่ากุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ การรู้ความเป็นจริงของสภาพธรรมอย่างที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างแข็งขึ้นมา ซึ่งก็เป็นลักษณะที่มีจริงที่ปรากฏทางกาย เพราะฉะนั้นการที่เราพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่มีจริง ก็เป็นปัจจัยให้สติระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น การที่เรารู้ถูกเห็นถูก ก็เป็นปัญญา ที่ทำให้เราไม่ติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเรารู้ในความเป็นจริง ไม่ใช่เราจับต้องสิ่งใดก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะขณะนั้นเลยปรมัตถ์ธรรม ก็เป็นบัญญัติ ก็เป็นปัจจัยให้เราติดข้องในสิ่งนั้นมาก หรือว่าเกิดโทสะในสิ่งนั้นมาก ก็ทำให้เกิดอกุศลจิตได้ทั้งวัน นี่คือการที่สติระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรม ก็เป็นปัจจัยให้ปัญญาเจริญขึ้น รู้ถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ และอีกอย่างนึง ขณะที่สติสัมปชัญญะระลึก และมีลักษณะแข็งปรากฏ ขณะนั้นเราเริ่มเห็นความต่างของปรมัตถ์ และบัญญัติ เพราะว่าขณะนั้นมีลักษณะจริงๆ ยังไม่ได้เรียกชื่อเลย ยังไม่ต้องคิดอะไรเลยทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าเราเริ่มเข้าใจความต่างว่า ถ้าเป็นสภาพธรรมแล้วมีลักษณะ แต่เวลาที่คิดเรื่องราวต่างๆ ขณะนั้นเรื่องราวต่างๆ นั้นก็เป็นบัญญัติ เข้าใจเวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด ไม่ใช่เพียงรู้ว่าบัญญัติก็เป็นเรื่องราวของสภาพธรรม เป็นอารมณ์ของจิตคิด แต่ขณะที่มีลักษณะปรากฏที่สติระลึก เมื่อนั้น เริ่มเห็นจริงๆ ว่า ปรมัตถ์ธรรมไม่ใช่บัญญัติ และสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม มีลักษณะเกิดดับ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้อริยสัจธรรมได้ก็คือ ต้องรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม

    ผู้ฟัง ตอนนี้ถอดจากเทปท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์อธิบายระหว่างรูปกับสภาพรู้ ท่านอาจารย์กล่าวบอกว่า เสียงถ้าปรากฏก็เป็นสภาพธรรมที่สติกำลังระลึก แล้วก็รู้ลักษณะนั้นว่าเป็นสภาพธรรม ส่วนสภาพรู้ในขณะนั้นก็คือสภาพรู้ที่ไม่ขาดสายเลย แล้วก็สามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นขณะที่เสียงปรากฏ นั้นคือสภาพรู้กำลังรู้เสียง ตรงนี้ ท่านอาจารย์กล่าวบอกว่าสภาพรู้ไม่ขาดสายเลย แน่นอน เพราะว่าถ้าจะรู้รูปก็ต้องมีสภาพรู้ ถ้าจะเป็นรู้ในเรื่องของเจตสิกก็ต้องมีสภาพรู้อีก แสดงว่ารูปไม่ปรากฏได้แต่จิตที่เป็นสภาพรู้ต้องมีอยู่ตลอด

    ท่านอาจารย์ กำลังหลับ รูปนี้ก็จริง แต่ว่าไม่มีจิตที่รู้รูปนั้น รูปก็มีปัจจัยที่จะให้เกิด จิตก็มีปัจจัยที่จะให้เกิด นี้แสดงความต่างกันโดยเด็ดขาด ของนามธรรม และรูปธรรมว่า รูปไม่ใช่นาม และนามไม่ใช่รูป

    ผู้ฟัง ที่ดิฉันได้อ่านไป จะเห็นว่า เสียงก็เป็นส่วนเสียงไป ไม่ได้เกี่ยวกับสภาพรู้ตรงนั้นเลย ตรงนี้ยากที่จะเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ก็มีจริง ก่อนอื่นก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และปัญญาก็ค่อยๆ หยั่งลงด้วยดี มีศรัทธาไม่หวั่นไหว ที่จะเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งได้ นี้ก็ต้องอาศัยศรัทธา

    อ. กฤษณา ข้อที่ว่าด้วยเหตุใกล้ให้เกิดศรัทธา ก็คือจะมี ๒ ข้อคือมี วัตถุหมายถึงอารมณ์ที่ทำให้จิตผ่องใสตั้งมั่นด้วยดี ก็คืออารมณ์ที่จะทำให้จิตเป็นไปในทางฝ่ายกุศลนั่นเอง แล้วก็อีกข้อหนึ่งก็คือ โสตาปัตติยังคะ ซึ่งก็เป็นเหตุที่จะทำให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งก็มีอยู่ ๔ ข้อก็ขอเชิญคุณธิดารัตน์

    อ. ธิดารัตน์ จะมีข้อความในโสตาปัตติยังคสูตร ซึ่งแสดงโสดาปัตติยังคะ ๔ ประการ ข้อ ๑๖๒๐

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย โสตาปัตติยังคะ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ

    การคบสัตบุรุษ ๑

    การฟังธรรมของสัตบุรุษ ๑

    การทำไว้ในใจโดยแยบคาย ๑

    การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย โสตาปัตติยังคะ ๔ ประการนี้แล

    ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ บุคคลเช่นไร จึงจะใช้คำว่าสัตบุรุษได้

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นผู้ที่มีธรรมของผู้สงบ

    ผู้ฟัง ธรรมที่ทำให้เป็นผู้สงบคือธรรมที่ยังทำให้เป็นผู้สงบนี้ก็สงบ ในที่นี้ก็หมายถึงสงบจากกิเลสใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่แน่นอนคือพระอริยบุคคล แล้วก็คงจะไม่คิดว่า เราเป็นหรือเปล่า สัตบุรุษคือคำสำหรับอริยบุคคล ไม่ต้องกล่าวถึง แต่ว่าบางท่านก็อาจจะคิดว่า แล้วเรามาฟังธรรมมาศึกษาธรรมเราเป็นสัตบุรุษหรือสัปบุรุษหรือเปล่าบางคนก็อาจจะคิด ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องไปคิดเรื่องคำ เราก็คือเรา ก็เป็นสภาพธรรมที่ที่เป็นอกุศลบ้าง เป็นกุศลบ้าง วิบากบ้าง กิริยาบ้าง ส่วนคำนี่เราต้องการให้ใครเรียกเราอย่างไรหรือเปล่า ถ้าคำนั้นไม่จริงก็ไม่ต้องไปคิดถึงเลยใช่ไหม แต่ขณะไหนที่มีศรัทธา มีการฟังธรรม และกล่าวกันว่า สัปบุรุษก็คือชั่วขณะที่เป็นคนที่มีความสงบในขณะที่ฟังธรรม

    ผู้ฟัง ใน ๔ ข้อ อยากจะถามข้อ ๔ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม จะให้ความหมายว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คือประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมที่เรากำลังสนทนากันอยู่ที่ตรงนี้ นี้เป็นองค์หนึ่งของเหตุที่จะทำให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งการที่จะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมได้ ก็จะต้องมีความเข้าใจในข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง จะมีความเข้าใจในข้อปฏิบัติที่ถูกต้องก็จะต้องเข้าไปตั้งแต่การคบสัตบุรุษเข้าไปหาท่าน แค่นั้นไม่พอต้องฟังคำของท่านด้วย ฟังธรรมของท่านแค่นั้นไม่พอต้องโยนิโสมนสิการ คือพิจารณาไตร่ตรองธรรมที่ได้ฟังจากการที่ไปคบสัตบุรุษ เมื่อโยนิโสมนสิการพิจารณาไตร่ตรองแล้ว ได้ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ตรงนั้นก็จะเป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมคือโลกุตรธรรม จึงจะเป็นองค์ที่จะให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน

    ท่านอาจารย์ ที่จะให้ท่านเข้าใจชัดขึ้นสำหรับข้อธรรมมานุธัมมปฏิบัติ ขณะนี้พวกเราเป็นหรือเปล่า


    หมายเลข 12837
    21 มิ.ย. 2568