สนทนาวิตตสูตร ตอนที่ 1
สนทนาพระสูตร ตอนที่ ๑
ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖
ท่านอาจารย์ ให้ทุกคน ได้เข้าใจพระธรรม เพราะว่าประโยชน์สูงสุดของการที่เรามาฟัง ก็คือให้เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเรียนอะไรที่ไหน คัมภีร์ไหน อย่างไร หรือเราจะพูดสนทนากันอย่างไร ก็เพื่อให้เข้าใจสภาพที่กำลังมีในขณะนี้จริงๆ ว่า ทั้งหมดในพระไตรปิฏกก็คือสิ่งที่มีจริง แล้วก็เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะมีความละเอียด แล้วก็เราจะรู้สึกว่าเป็นการยากอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่มี ไม่ใช่ง่ายที่เราจะเข้าใจ แม้ว่ามีอยู่ และในตำราพระไตรปิฏกก็ทรงแสดงความละเอียด ละเอียดเท่าไหร่ก็คือความจริงของสภาพธรรมเท่านั้นที่กำลังมีในขณะนี้ กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งเกิดแล้วผ่านไปแสนเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราจริงๆ เราจะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มี แต่ถ้าเราฟังแล้วก็มีความเข้าใจจริงๆ เราก็จะเข้าใจได้ว่า ขณะนี้เองสิ่งที่กำลังจากการสนทนาของเรา แต่ละวัน ก็คือการที่จะทำให้เราเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นคงจะไม่ต้องไปกังวลถึงว่า เรายังไม่มีพื้นฐาน หรือว่ามีความรู้ยังไม่พอ แต่จริงๆ แล้วก็คือว่า สิ่งที่มีจริงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ขณะที่เรากำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง เราเข้าใจสิ่งที่มีจริงแค่ไหน ซึ่งวันนี้ก็เป็นเรื่องของพระสูตร เป็นชีวิตจริงๆ หรือเปล่า จริง แต่ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในครั้งนั้น ซึ่งในครั้งก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้เรื่องก็เคยมีจริงอย่างนี้ในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ หรือถึงแม้ในอนาคต ในสมัยของพระศรีอริยเมตไตรย ทุกอย่างก็เป็นความจริงอย่างนี้ เพราะว่าสิ่งที่เป็นความจริง ก็เป็นความจริงทุกกาลสมัย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังวันนี้จากพระสูตร ก็จะแสดงให้เห็นว่าไม่ต่าง ไม่ว่าในสมัยไหนทั้งสิ้น ขอเชิญ
อ. กฤษณา พระสูตรที่จะนำเสนอสนทนาในวันนี้ก็คือ วิตตสูตร นำมาจากสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ซึ่งพระสูตรนี้ก็เป็นพระสูตรที่เทวดาได้มากราบทูลถามปัญหาพระผู้มีพระภาคเจ้า
เทวดาได้กราบทูลถามว่า
อะไรหนอเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของคนในโลกนี้
อะไรหนอที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้
อะไรหนอเป็นรสดีกว่าบรรดารสทั้งหลาย
คนมีชีวิตอยู่อย่างไร นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า มีชีวิตประเสริฐ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ศรัทธาเป็นเครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของคนในโลกนี้
ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้
ความจริงเท่านั้นเป็นรสที่ดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย
คนที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า มีชีวิตประเสริฐ
อรรถกถาวิตตสูตร พึงทราบวินิจฉัยในวิตตสูตรที่ ๓ ต่อไป
บทว่า สทฺธีธ วิตฺตํ แปลว่า ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจในโลกนี้
อธิบายว่า คนมีศรัทธาย่อมได้เครื่องปลื้มใจทั้งหลายแม้มีแก้วมุกดาเป็นต้น บุคคลถึงซึ่งกุลสัมปทา (คือการถึงพร้อมด้วยสกุล) ๓ กามสวรรค์ ๖ พรหมโลก ๙ แล้วในที่สุดย่อมได้แม้การเห็นอมตมหานิพพาน เพราะเหตุนั้น ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันมีแก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น
ผู้ฟัง ตรงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบ มีใจความอยู่ว่า ความจริงเท่านั้นเป็นรสที่ดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย กราบท่านอาจารย์ ความจริงตรงนี้กว้างแค่ไหน
ท่านอาจารย์ ก็สิ่งที่เป็นจริงมีจริง ตรงความจริงนั้นๆ เช่นในขณะนี้ ศรัทธามีหรือเปล่า เห็นไหม ไม่ได้พูดเรื่องไกลตัวเลย พูดเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แต่เราข้าม เพราะเหตุว่าพอพระผู้มีพระภาคเพียงตรัสเท่านี้ ใครจะเข้าใจได้มากน้อยลึกซึ้งแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้น เขาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้นหรือเปล่า เช่นในขณะนี้ มีศรัทธาหรือเปล่า เห็นไหม ต้องคิดแล้ว และศรัทธาที่มีในขณะนี้ จะนำมาซึ่งอะไรบ้าง ไม่ใช่นำมาเพียงแค่รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่น่าพอใจ หรือว่าเป็นเทวดาในภพภูมิต่างๆ แต่จนกระทั่งถึงสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ออกจากสังสารวัฎได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าเรื่องของศรัทธาไม่ใช่ว่าอยู่ในหนังสือ แต่ขณะนี้เอง ให้เราเข้าใจสภาพของศรัทธาโดยการฟัง เพราะว่าโดยการฟังทุกคนตอบว่า มี แต่ว่าตรงไหนเมื่อไหร่อย่างไร อยากจะให้ท่านผู้ฟังได้ร่วมสนทนาจริงๆ ว่า ใครมีทรัพย์แล้วไม่ปลื้มใจบ้าง มีไหม อยากได้ทุกคน มีมากเท่าไหร่ก็ปลื้มใจมากเท่านั้น ชอบจริงๆ แล้วทำไมสละได้ เห็นสละทรัพย์กันบ่อยๆ บางคนก็สละได้มากทีเดียว ก็ในเมื่อทรัพย์เป็นเครื่องปลื้มใจ แล้วทำไมถึงได้สละทรัพย์ได้ ก็น่าคิดทุกอย่างเลย คือธรรมเป็นเรื่องจริงแล้วก็จะแสดงให้เห็นความละเอียด เพราะว่าถ้าเราคิดแล้ว เราจะได้ปัญญาเพิ่มขึ้นอีก มีใครที่จะร่วมสนทนาไหมว่า ทรัพย์เป็นเครื่องปลื้มใจมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่ทำไมสละได้
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ยกคำถามว่า ทรัพย์ที่เรามีแล้วเราปลื้มใจ เรายังสามารถที่จะสละหรือบริจาคได้ ก็ได้มาพิจารณาดู ก็มีความคิดเห็นว่า ขณะที่เราให้ มีศรัทธาเกิดร่วมด้วย เราถึงสามารถที่จะบริจาคให้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าพิจารณาในแง่ประเด็นนี้ น่าจะเป็นลักษณะของศรัทธาที่ทำให้เราปลื้มใจมากกว่าทรัพย์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราต้องทราบว่าเรากำลังพูดถึงอะไร อย่างเรากำลังพูดถึงทรัพย์ เรายังไม่ได้แยกเลย เราเริ่มต้นตั้งแต่ ทรัพย์ที่เป็นวัตถุทางโลก รูปเสียงกลิ่นรสพวกนี้ เป็นเครื่องปลื้มใจแน่นอน ถ้าใครได้ คนนั้นก็ปลื้มใจ รสอาหารอร่อยๆ ก็รู้สึกว่าทุกคนก็บอกว่าอร่อยมาก สิ่งที่สวยงามก็ปลื้มใจ นี้คือทางโลกซึ่งยังไม่ประเสริฐ แต่ว่ากล่าวถึงปีตินำมาซึ่งความปลาบปลื้มได้ ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้นถ้าเป็นความติดความพอใจในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะ ปีติเกิดกับโลภมูลจิต จิตที่มีความติดข้อง ติดข้องอย่างโสมนัส เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ความรู้สึกปิติหรือโสมนัสความรู้สึกสบายใจของเรา ขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล มิฉะนั้นจะไม่ทรงแสดงไว้เลยว่า ทรัพย์เป็นเครื่องปลื้มใจในโลก แต่ทรัพย์ที่ประเสริฐคือศรัทธา เพราะฉะนั้นก็จะต้องรู้เลยว่า สิ่งที่เรามีแล้วก็นำความปลาบปลื้มมาให้เรา ทั้งวันทั้งคืนตั้งแต่เด็กจนโต ก็คือนำความติดข้อง แล้วจะเอาอะไรที่จะมาละมาขัดเกลา เพราะว่าการกว่าที่เราจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ด้วยปัญญาที่ทำหน้าที่ละคลายอกุศล จนกระทั่งสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ เพราะเหตุว่าถ้าปัญญาไม่เกิดกุศลไม่เกิด ก็เป็นอกุศลมากมาย อย่างที่เรามองเห็นอยู่ แต่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ก็สามารถที่จะรู้ว่า นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ยั่งยืนเลย เล็กน้อยมาก ทรัพย์ทางโลก เป็นปริตตธรรม ทันทีที่ตาเห็นปลื้มนิดหนึ่ง หูได้ยินเสียงก็ปลื้มอีกหน่อยหนึ่ง ทางจมูกนิดหนึ่ง ทางลิ้นทางกายก็นิดหน่อย เท่านั้นเอง ไม่สามารถที่จะยั่งยืนได้ แต่ว่าสภาพธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ถ้าอบรมเจริญแล้ว ก็สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ซึ่งต้องมีศรัทธา ถ้าไม่มีศรัทธา ธรรมฝ่ายกุศลนี้ก็ไม่เจริญ
ผู้ฟัง อย่างนี้ตัวศรัทธานี้ก็จะต้องมีทั้งกุศลและอกุศล
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย นี่คือความละเอียด ศรัทธาต้องเป็นโสภณธรรม ความปลื้มใจปิติเป็นกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ และสำหรับทรัพย์ เครื่องปลื้มใจจะเป็นฝ่ายกุศลอกุศล ถ้าเราติดข้อง แน่นอนต้องเป็นฝ่ายอกุศล เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเราต้องเข้าใจชีวิตจริงๆ ของเราว่า ตลอดมาในชาตินี้ ปีติของเราเกิดเพราะทรัพย์นั้นมากแค่ไหน ส่วนที่จะเกิดเพราะศรัทธานั้น ก็ต้องน้อยกว่า เพราะฉะนั้นเพียงแต่เข้าใจความหมายของคำว่า ทรัพย์ คือสิ่งที่ทำให้เกิดความปลาบปลื้ม มีทั้งที่เป็นฝ่ายอกุศล และที่เป็นฝ่ายกุศลด้วย ซึ่งต้องแยกกัน ไม่อย่างนั้น เราก็รวมกันหมด แล้วก็ไม่เห็นตัวเรา การศึกษาธรรมไม่ใช่ว่า ให้ไปอยู่ในหนังสือมากๆ ให้เข้าใจตัวหนังสือมากๆ แต่ตัวเราเดี๋ยวนี้ และที่ผ่านมาแล้วทั้งหมด แล้วก็มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขณะจิต ๑ เท่านั้นเอง ขณะจิต ๑ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็มีขณะต่อไปซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยอีก เราให้เข้าใจตรงนี้ว่า ศรัทธาที่ประเสริฐ ไม่ใช่ความปิติที่เกิดเพราะทรัพย์
ผู้ฟัง อย่างนี้ลักษณะของความปิติที่เกิดซึ่งมีทั้งกุศลและอกุศล ลักษณะจะต้องแตกต่างกัน
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถ้าปิติที่เกิดกับอกุศล ก็ติดข้อง แต่ว่าที่เป็นโสภณะไม่ติดข้อง สามารถสละได้ ทั้งๆ ที่เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจ เพราะมีสิ่งอื่นซึ่งทำให้ประเสริฐกว่าความปลื้มใจในการมีทรัพย์
ผู้ฟัง ขอให้อีกตัวหนึ่ง คือโสมนัส โสมนัสนี้ก็จะต้องมีทั้งกุศลและอกุศลใช่ไหม
อ. กุลวิไล ที่ท่านอาจารย์บอกว่า ทรัพย์ทางโลกเป็นสิ่งที่ปลื้มใจ อันนี้ถ้าโดยสภาพธรรมแล้ว อย่างการที่ได้รับรูปรสกลิ่นเสียงโผฏฐัพพะที่ดีอย่างนี้ ซึ่งจริงจริงแล้วสภาพธรรมก็ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละทาง การเห็นสิ่งที่ดีการได้ลิ้มรสสิ่งที่ดี ก็เป็นการรับผลของกรรม เพราะฉะนั้นก็คือสิ่งที่ทำให้ปลื้มใจ ถ้าเราได้รับรสอาหารที่อร่อย ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้กระทบสัมผัสสิ่งที่ดี อันนี้ก็เป็นผลของกุศลกรรมแน่นอน ที่ให้ได้รับกุศลวิบากที่ดี เพราะฉะนั้นทรัพย์ทางโลกดูเหมือนว่าจะมีลักษณะที่เป็นรูปธรรมมาก เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราได้รับทางทวารทั้ง ๕ แล้วก็เป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดก็ได้ หรืออกุศลจิตเกิดก็ได้ แต่ในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมแล้ว การที่ได้รับทรัพย์ทั้งโลกถึงปลื้มใจกับเรา ก็ปลื้มใจด้วยโลภะ เพราะว่าเป็นปัจจัยจะให้อกุศลจิตเกิดต่อ
ท่านอาจารย์ โลภะก็เป็นอกุศลจิต ปลื้มใจในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะ แล้วก็ยังติดข้องแล้วก็จะปลื้มใจต่อไปอีก ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจว่า สิ่งที่จะนำความปราบปลื้มใจมาให้ที่ประเสริฐกว่าความปลื้มใจที่เป็นอกุศลมีคือ ศรัทธา ซึ่งในขณะนี้ อย่างที่ถามตอนต้นว่า มีศรัทธาหรือเปล่าที่นั่งอยู่ในขณะนี้ มี แต่ลักษณะของความปราบปลื้มมีไหม ปรากฎไหม เป็นเพียงสิ่งซึ่งจะนำมาซึ่งความปลาบปลื้ม ตรงนี้ก็คงจะถึงลักษณะของศรัทธาเพื่อจะทำให้กระจ่าง
อ. กุลวิไล สำหรับข้อความของลักขณาทิจตุกะของศรัทธา
มีความเชื่อคือเลื่อมใส หรือมีความเชื่อมั่น เป็นลักษณะ
มีการยังสัมปยุตตธรรมทำให้ผ่องใส หรือมีการแล่นไปข้างหน้า เป็นกิจ
มีการไม่ขุ่นมัว หรือมีการน้อมใจเชื่อ เป็นอาการปรากฏ
มีวัตถุที่พึงเชื่อหรือมีโสตาปัตติยังเป็นเหตุใกล้
อันนี้ก็คือลักขณาทิจตุกะของศรัทธา
ท่านอาจารย์ มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหม เริ่มไปทีละลักษณะ
อ. กุลวิไล ลักษณะในที่นี้ท่านจะหมายถึงวิเสสลักษณะ ใช่ไหม เป็นลักษณะที่เฉพาะอย่างของสภาพธรรม ท่านกล่าวว่า มีความเชื่อคือเลื่อมใส หรือมีความเชื่อมั่นเป็นลักษณะ
ท่านอาจารย์ มีข้อสงสัยไหมตอนนี้ ลักษณะของศรัทธา เพราะว่าจริงๆ แล้วสภาพธรรมทั้งหลายเหมือนกันหมดในลักษณะที่เป็นสามัญญะคือทั่วไปกับสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมหรือสังขตธรรม คือเกิดดับ แต่สิ่งที่เกิดดับ มีลักษณะต่างๆ กันไป แม้ใน ๑ ขณะจิต ที่เป็นฝ่ายโสภณะก็จะมีสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกที่มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ เกิดรวมกันมาก ที่จะทำให้จิตขณะนั้น เป็นโสณณะ เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาที่กุศลจิตกำลังเกิดในขณะนี้ ก็จะมีโสภณสาธารณเจตสิก คือเจตสิกฝ่ายดีซึ่งต้องเกิดกับกุศลจิตแน่นอนหลายประเภท และเราจะต้องพิจารณาถึงแต่ละประเภท คือเริ่มด้วยศรัทธา ซึ่งขณะนี้มีแต่ยังไม่ชัดเจนว่า ลักษณะของศรัทธาเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นต้องค่อยๆ ไปถึงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะจริงๆ เพราะว่าถ้าเราคิดเอง เราไม่ได้มีการสนทนาแบบนี้ เราก็จะไปเข้าใจเอาเองว่า ต้องมีความเชื่อ แต่ว่าถ้าเรามีการสนทนา และรู้ว่ารูปภาษาบาลีต้องส่องถึงลักษณะของธรรม เพราะลักษณะของศรัทธาไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นสภาพที่เกิดร่วมกับโสภณจิตทุกประเภท เป็นสภาพที่ผ่องใส ปราศจากอกุศล และก็ทำให้สภาพธรรมอื่นผ่องใสตามด้วย เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่ขณะนั้นไม่เป็นอกุศล
ก็เป็นเรื่องที่แม้ว่าสภาพธรรมที่มีจริง แต่ก็ยากที่จะเข้าใจได้ เพราะว่าปัญญาของเราไม่ถึงกับสามารถที่จะกล่าวคำ หรือเข้าถึงความแจ่มกระจ่างของลักษณะของเจตสิกแต่ละลักษณะ ถ้าไม่ทรงแสดงไว้ แต่เมื่อทรงแสดงไว้ เราก็ค่อยๆ พิจารณาให้เกิดความเข้าใจว่า ศรัทธาเป็นความเชื่อหรือ ในเมื่อศาสนาอื่นความเห็นอื่นเขาก็มีกุศลจิตเกิดได้ ขณะที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นหยั่งลงด้วยดีในกุศล ไม่ว่าจะเป็นกุศลประเภทใดทั้งสิ้น ไม่ใช่ไปหยั่งในอกุศลแน่ แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่ยังลงด้วยดีในกุศล ในความดีงาม ในสภาพที่ดี ในขณะนี้มีศรัทธาไหม มี แต่ว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าถึงลักษณะของศรัทธาถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด และเวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด ไม่ใช่ว่าเราจะไปรู้ลักษณะของศรัทธา ถ้าสติสัมปชัญญะนั้นไม่ระลึกตรงลักษณะของศรัทธา ซึ่งก็ขณะนี้ก็มีเจตสิกหลายประเภทเกิด เพราะฉะนั้นศรัทธาจะเจริญขึ้น เหมือนกับกุศลทั้งหลาย ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าปุบปับทันที
อ. กฤษณา เมื่อลักษณะของศรัทธา เราก็ได้ทราบแล้วว่าหมายถึง ความผ่องใส ความผ่องใสนั่นก็คือไม่ขุ่นมัว ซึ่งก็ท่านก็จะเห็นได้ว่า เป็นอาการปรากฏ ที่แสดงว่าอาการปรากฏของศรัทธาก็คือการไม่ขุ่นมัว ตัวศรัทธาเองผ่องใส แล้วก็มีกิจที่ทำสัมปยุตตธรรมที่เกิดร่วมด้วยให้ผ่องใสด้วย นั่นก็เป็นกิจหน้าที่ของศรัทธา เพราะตัวเองมีลักษณะผ่องใส เพราะฉะนั้นกิจของเขาคือทำสัมปยุตตธรรมให้ผ่องใส่ด้วย แล้วก็อาการปรากฏของเขาก็ไม่ขุ่นมัว
อ. กุลวิไล ที่ว่ากิจของศรัทธาอันที่ว่า ยังสัมปยุตตธรรมให้ผ่องใส หรือว่ามีการแล่นไปในข้างหน้า อันนี้หมายถึงว่าศรัทธาเขาเป็นหัวหน้าของสัมปยุตตธรรมทั้งหมด เพราะว่าถ้าเกิดศรัทธาไม่มีแล้ว กุศลจิตก็เกิดไม่ได้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ นำมาซึ่งกุศลต่อๆ ไปที่จะเจริญขึ้น เพราะว่าศรัทธาของเราคงไม่อยู่เฉยๆ เมื่อวันก่อนเราก็ศึกษา เราก็ฟัง ต่อไปก็เป็นปัจจัยให้เกิดศรัทธาที่จะเข้าใจขึ้น สืบต่อๆ ไป เจริญขึ้นๆ ขณะนี้รู้สึกผ่องใสหรือเปล่า
อ. กฤษณา ถ้าผ่องใส ก็หมายความว่า ขณะนี้ต้องไม่มีนิวรณ์ คือระงับนิวรณ์
ท่านอาจารย์ แต่รู้สึก
อ. กฤษณา รู้สึกหรือ ยังไม่รู้สึกจริงๆ แล้วผ่องใส
ท่านอาจารย์ อันนี้หมายความว่า จะแสดงให้เห็นว่า เราต้องมีอกุศลสลับ ใช่ไหม อย่างทางตาที่กำลังเห็น มีอกุศลที่จะสลับ เพราะฉะนั้นลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่มีกำลัง จะไม่ปรากฏ แต่ถ้ามีกำลัง และขณะนั้นจะรู้ได้เลย แม้แต่ผู้ที่ฟังธรรมในครั้งอดีต ฟังด้วยความผ่องใสขนาดไหน ไม่สนใจอย่างอื่นเลย แม้ว่างูจะกัดตัวเอง หรือว่างูจะกัดลูก ก็มีความผ่องใส จิตขณะนั้นไม่หวั่นไหวในกุศล เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถ้ายังไม่มีกำลัง ก็เกิดสลับกับอกุศล โดยที่เราต้องเข้าใจจริงๆ ว่าถ้าปัญญาไม่เกิดตามลำดับที่จะอบรม การที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงยังไกล เพราะขณะนี้สภาพธรรมตามความเป็นจริง คือเห็นแล้วเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เห็นไหม แค่นี้ก็ไม่รู้จะมาเข้าใจชั่วขณะที่กำลังฟังธรรม แล้วค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่า ยิ่งเข้าใจสภาพธรรมละเอียดเท่าไหร่ ก็จะรู้ตามความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ว่าจะในขั้นของการศึกษา หรือว่าในขั้นของสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อสติเกิดระลึก เพราะว่าถ้าสติไม่ระลึก หมดแล้วทุกอย่างหมดแล้ว ต้องให้ไม่ลืมว่าขณะนี้ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น มีจริงๆ เฉพาะที่กำลังปรากฏเท่านั้น
อ. กฤษณา ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า การที่จะรู้สึกจริงๆ ว่ามีความผ่องใสก็ต่อเมื่อศรัทธานั้นมีกำลังใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นอย่างที่เรามักจะพูดกันว่า ถ้าไม่มีศรัทธาก็ไม่มาฟังธรรมหรอก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รู้สึกถึงความผ่องใสจริงๆ เลย อันนั้นก็พูดกันไปอย่างนั้นเอง
ท่านอาจารย์ รู้ว่ามี ฟังว่ามี รู้ว่ามี เข้าใจถูกว่ามี แต่ลักษณะนั้นไม่ได้ปรากฏ
ผู้ฟัง ก็แปลกอยู่บ่อยๆ ว่า จิตเกิดดับเร็วมาก แต่จริงๆ แล้วความเร็วของจิตไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ที่จะให้สติระลึกได้ มันไม่เกี่ยวกันตรงนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยปัจจัยของสติสัมปชัญญะ ถ้าไม่มีปัจจัยก็เป็นสติขั้นฟัง เป็นสติขั้นพิจารณา ยังไม่ถึงสติระดับที่จะระลึกแล้วก็รู้ลักษณะของสภาพธรรม
ผู้ฟัง เพราะมักพูดกันบ่อยๆ ว่า เกิดดับเร็วจะไประลึกได้อย่างไร ตรงนี้มันไม่ใช่ มันเกี่ยวกับปัญญาคมกล้าที่จะระลึกรู้ขณะนั้นหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ถ้าพูดอย่างนี้ หมายความว่า ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย แต่ผู้รู้มี
อ. ธิดารัตน์ อย่างสภาพของศรัทธานี้ก็จะแสดงว่าเป็นอินทรีย์ด้วย แสดงว่าในขณะที่ลักษณะของศรัทธาปรากฏมีกำลัง ขณะนั้นก็เป็นอินทรีย์
ท่านอาจารย์ ก็คงจะไม่ได้มีเฉพาะสัทธินทรีย์อย่างเดียว ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าอะไรจะปรากฏ
อ. ธิดารัตน์ เพราะในธรรมสังคณี ก็จะมีแสดงนิเทศของสัทธินทรีย์ แสดงว่า
ศรัทธาชื่อว่าอินทรีย์ เพราะเป็นอธิบดี โดยความครอบงำความไม่มีศรัทธา อย่างหนึ่ง
ชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นความครอบงำความเป็นใหญ่กว่าธรรมอื่น
ท่านอาจารย์ ลักษณะของสภาพธรรมไม่เปลี่ยนเป็นอย่างนั้น แต่ปรากฏหรือเปล่า เช่นในขณะนี้ สติเจตสิกก็ต้องมี ศรัทธาเจตสิกก็ต้องมี อโลภะ อโทสะ ต้องมีทั้งหมด และอะไรปรากฏหรือเปล่า เป็นเรื่องที่เราศึกษาพระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ อันนี้เราต้องเข้าใจ แต่ปัญญาของเราจริงๆ แท้ๆ ที่จะฟังแล้วพิจารณาแล้วก็เริ่มที่จะเข้าใจธรรม จะเพิ่มขึ้น หรือว่ายังคงเหมือนเดิม หรือเข้าใจเพียงชื่อเพียงเรื่องราวต่างๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่เราจะเห็นความต่างกัน ว่าถ้าเราพิจารณาไตร่ตรอง ความเข้าใจถูกต้องก็จะค่อยๆ มากขึ้น ไม่ใช่แบบพอกล่าวอย่างนี้แล้วทุกคนก็จะรู้ลักษณะของสัทธินทรีย์ เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าสภาพที่เป็นอินทรีย์ก็เป็นอินทรีย์ ใครจะเปลี่ยนลักษณะของสภาพนั้นไม่ได้ แต่ปรากฏหรือเปล่า อย่างที่ถามคุณกฤษณา และคุณกฤษฎาก็ตอบ รู้ว่ามี แต่ไม่ปรากฏความผ่องใสยังไม่ได้ปรากฏแม้ว่ามี สติก็มีก็ไม่ปรากฏลักษณะของสติ
ผู้ฟัง คือในลักษณะสภาพธรรมมันก็รู้ได้ยาก แต่ที่ฟังจากที่ท่านอาจารย์แสดง ท่านอาจารย์มักจะยกตัวอย่าง อย่างเช่นว่า เสียงต่างกับรสไหม คือตรงนี้ทำให้เราเห็นขึ้นมาหน่อยแล้วว่ามันไม่เหมือนกัน มันก็เข้าใกล้ตัวจริงเข้าไป ดิฉันว่าตรงนี้ ท่านอาจารย์ที่พอที่จะให้เข้าใกล้นิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ และอีกอย่างหนึ่ง ลักษณะของสภาพธรรมอย่างละเอียด ตั้งแต่ลักษณะ และก็กิจ และก็อาการปรากฏ และเหตุใกล้ให้เกิด ใครสามารถแสดงได้ ในสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และก็เกิดพร้อมกันด้วย แล้วก็ดับอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราสามารถที่จะไปจำได้หมด เข้าใจได้หมด แต่อย่างน้อยที่สุดถ้าพูดถึงศรัทธาวันนี้ ลบกระดานออกหมด เราจะสามารถเข้าใจลักษณะของศรัทธาได้ตามความเข้าใจจริงๆ ของเรา ไม่ใช่เพียงกันจำตัวหนังสือ แล้วก็ท่อง เพราะว่าบางคนอาจจะจำเก่ง ว่าได้หมดเลยทั้ง ๔ อย่าง แต่ว่าความเข้าใจจริงๆ ในลักษณะของศรัทธาจะมีไหม ถ้าเป็นความรู้ความเข้าใจของเราเอง ลบออกจากกระดานทั้งหมด เราพอที่จะเห็นลักษณะของศรัทธาไหมว่า เป็นสภาพที่ขณะนั้นเราไม่จำเป็นต้องเรียกว่า ลักษณะ หรือว่ากิจ หรืออาการปรากฏ หรือว่าเป็นเหตุใกล้ แต่ว่ามีสิ่งที่ทำให้เราสามารถที่จะเห็นว่าขณะนั้นเป็นศรัทธา
