ธรรมเกิดดับสืบต่อ แต่ไม่รู้ เพราะขาดสติสัมปชัญญะ


        ผู้ฟัง ปัญญาขั้นฟังไม่สามารถละกิเลสได้เลย ต้องขั้นอย่างน้อยสติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ปัญญาก็มีหลายขั้น ขั้นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ขั้นปริยัติ คือ ฟังเรื่องราวของธรรม ส่วนขั้นที่จะรู้ลักษณะ ก็ต้องอีกขั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็คิดว่า ชาตินี้คงไม่มีลักษณะ ฟังแค่เรื่องราว แต่เราไม่สามารถเข้าถึงลักษณะของเห็น ได้ยิน หรือที่ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ก็เลยมาคิดว่า ถ้าฟังแค่เรื่องราว ไม่สามารถดับกิเลส เกรงว่าจะเป็นโมฆะค่ะ ยังสับสนตรงนี้ค่ะ

        สุ. อย่าลืมความเป็นผู้ละเอียด ธรรมละเอียดจริงๆ แม้แต่ผู้ที่เข้าใจว่า กำลังศึกษาธรรม เป็นผู้ที่ตรง และจริงใจที่จะเข้าใจธรรมหรือเปล่า หรือว่าศึกษาเพราะว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ก็เพียงฟังเพราะอยากรู้ว่า ทรงแสดงเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังอย่างนั้น ก็เหมือนกับคนที่เรียนวิชาหนึ่งวิชาใด ประเทศไทยอยู่ที่ไหน ก็เป็นเรื่องราว

        เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำว่า “จิตมี ๘๙ ประเภท” ก็จำว่า จิตมี ๘๙ และเข้าใจว่าตัวเองรู้ธรรม หรือเรียนธรรม โดยที่ไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม จิต ๘๙ ขณะนี้มีไม่ครบแน่ใช่ไหมคะ แต่ก็มี พอที่จะให้รู้ลักษณะของจิต ไม่ใช่ฟังโดยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย ฟังเรื่องราวไว้หมด จิตมี ๘๙ ประเภท หรือเจตสิกมี ๕๒ รูปมี ๒๘ จิตขณะนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร ไม่ใช่เป็นการศึกษาธรรม แต่ถ้าศึกษาธรรม ขณะนี้เป็นธรรม ให้เข้าใจตามลำดับขั้น ไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย ถ้ารู้ว่า ขณะนี้ที่กำลังปรากฏ เป็นธรรมลักษณะต่างๆ ซึ่งไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยคิดว่า เป็นธรรม เช่นเห็น ใครก็เห็นทุกคน แล้วบอกว่า เห็นเป็นธรรม ฟังดูน่าสนใจไหมคะ แค่เห็นเป็นธรรม บอกว่าเห็นเป็นธรรม รู้แล้วเห็นเป็นธรรม แต่ว่าเข้าใจหรือเปล่า ในธาตุเห็นที่ไม่มีรูปร่างเลย เกิดแล้วดับด้วย

        เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ก็คือให้เข้าใจธรรมที่กำลังมี แล้วเวลานั้นเมื่อฟังแล้วจึงจะรู้ได้ว่า จากการฟัง เพียงเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่เกิดปรากฏแล้วดับ แต่ไม่ได้ประจักษ์ความจริง แม้แต่คำว่า “อนัตตา” ถ้าไม่รู้จักสภาพธรรมแต่ละอย่าง ก็ท่องคำว่า “อนัตตา” พูดว่า “อนัตตา” แต่เห็น ก็ไม่เคยรู้ว่าเป็นอนัตตา ได้ยิน ก็ไม่เคยรู้ว่าเป็นอนัตตา กำลังหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏเลย หรือมีอะไรปรากฏคะ

        ผู้ฟัง หลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏ

        สุ. ค่ะ คนเป็นต่างกับคนตาย คนตายไม่มีจิต ไม่ใช่คำว่า หลับสนิท แต่ใช้คำว่า “ตาย” เพราะว่าไม่มีนามธรรมเกิดสืบต่ออีกต่อไป เมื่อจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับ ก็ไม่มีจิตขณะต่อไปเกิดขึ้นในรูป ที่เราเรียกว่า “คนตาย” แต่หลับสนิท มีใครหลับ โดยไม่ตื่นขึ้นมาเลยไหมคะ

        ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

        สุ. จริงๆ แล้วทุกคนลืมคิดว่า ขณะหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏเลย โลกเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จะสว่าง จะมืด จะมีสีสันวัณณะ จะมีเสียง มีกลิ่น อะไรก็ไม่รู้เลยทั้งสิ้น แต่แล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ไม่รู้เลยว่า เป็นธรรม เป็นเราตื่น เป็นเราเห็น เป็นเราได้ยิน เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ใช่เพียงแค่จำได้ว่า เป็นจิตประเภทนั้น ประเภทนี้ แต่ธรรมที่มี เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ จนกว่าสติสัมปชัญญะสามารถรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าเพราะความไม่รู้มีมาก สิ่งนั้นปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็มีสภาพธรรมที่เหมือนปรากฏสืบต่อ โดยที่จริงๆ แล้วเป็นการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วมากของจิตแต่ละประเภท

        เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ตรงว่า ขณะนี้เป็นธรรม ปรากฏ เข้าใจแค่ไหน หรือว่ากำลังฟังเรื่องราวของธรรมเท่านั้นเอง ก็จะรู้ว่า ต้องฟังอีกเท่าไร ต้องเข้าใจเพิ่มอีกเท่าไร กว่าจะแทงตลอด คือ ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้

        ผู้ฟัง คือฟังแล้ว ขั้นเข้าใจขั้นฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เป็นอนัตตา เกิดดับตามเหตุปัจจัย คือ เราเข้าใจขั้นฟังก็เข้าใจเหตุ แต่ขั้นที่จะรู้ลักษณะ ก็เหมือนกับยังไม่รู้อยู่นั่นแหละค่ะ ก็รู้แค่ขั้นเข้าใจ

        สุ. เพราะไม่ใช่เราที่รู้นี่คะ สติระลึก ปัญญารู้

        ผู้ฟัง แสดงว่าเหตุปัจจัยที่จะให้สติ และปัญญารู้ลักษณะ ยังไม่เกิด

        สุ. แน่นอนค่ะ

        ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเชื่อว่า ความเข้าใจขั้นปริยัติจริงๆ ก็ไม่เป็นเหตุปัจจัยให้สามารถเข้าถึงลักษณะ หรือรู้ลักษณะได้

        สุ. ค่ะ เวลาฟังก็พิสูจน์ได้ เห็นมีจริงๆ ไหม

        ผู้ฟัง มีจริงค่ะ

        สุ. เห็นมีรูปร่างอย่างไรหรือเปล่า

        ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

        สุ. เพราะฉะนั้นเป็นธาตุที่กำลังเห็น ทำอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากเห็น ขณะเห็นก็ธรรมอย่างหนึ่ง จนกว่าจะไม่ใช่เรา

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 339


    หมายเลข 12432
    23 ม.ค. 2567