จะรู้ว่ามีการยึดถือว่าเป็นตัวตนขี้นกับปัญญามีถึงระดับหรือไม่


        คุณอุไรวรรณ มีคำถามที่ต่อเนื่องของท่านอาจารย์ตรงนี้ เรียนถามว่า

        ขณะนี้ธรรมกำลังปรากฏ แต่ถ้าไม่รู้ แล้วก็ไม่เข้าใจว่า ธรรมที่กำลังปรากฏนั้นต่างกับความคิดนึกอย่างไร ขณะนั้นก็คงเป็นตัวตนตลอด ไม่ใช่ธรรมกำลังปรากฏ ขอความกรุณาท่านอาจารย์อธิบายความละเอียดหน่อยค่ะ

        สุ. ค่ะ ต้องทราบว่ากิเลสมีหลายระดับ นอนหลับสนิท ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล อนุสัยอย่างละเอียดยังไม่ได้ดับไปเลย พร้อมที่มีปัจจัยเมื่อไรก็เกิดเมื่อนั้น เพราะไม่มีใครเลยที่กรรมจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เมื่อปฏิสนธิจิต ๑ ขณะดับไปแล้ว กรรมก็ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดต่อจากปฏิสนธิจิตซึ่งดับไป แต่ทำหน้าที่คนละอย่าง คนละกิจ จิตขณะแรกของชาตินี้ทำปฏิสนธิกิจ สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ดับไป ในชาตินี้จะไม่มีปฏิสนธิจิตอีกเลย แต่กรรมก็ทำให้ทันทีที่จิตที่เป็นปฏิสนธิจิตดับ ปฏิสนธิจิตก็เป็นปัจจัยทำให้วิบากจิตประเภทเดียวกัน เพราะมีกรรมอย่างเดียวกันเป็นปัจจัยทำให้เกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ ปฏิสนธิจิตก็มีกิเลส ถ้าไม่มีกิเลสไม่เกิด ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้วไม่เกิดเลย เพราะดับกิเลสหมดแล้ว แต่ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ต้องเกิด

        เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตก็ต้องมีกิเลสที่นอนเนื่อง แต่เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศล เพราะฉะนั้นจิตที่ทำกิจปฏิสนธิจึงเป็นกุศลวิบาก เป็นกามาวจรกุศลวิบากในภูมิของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็จะเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ แต่ต้องเห็น จะเป็นอย่างนั้นตลอดไปไม่ได้ มีใครบ้างไหมคะ ไม่ตื่น มีไหมคะ แน่ใจนะคะ ปกติตื่น ตื่นแล้วเป็นอย่างไร เห็น หรือได้ยิน หรือคิดนึก แล้วแต่ขณะนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ รู้ล่วงหน้าไหมคะว่าจะเป็นอะไร ไม่รู้ นี่คือความเป็นอนัตตา

        เพราะฉะนั้นขณะนั้นจะต้องรู้ว่า แม้แต่ภวังคจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อ ก็จะเปลี่ยนเป็นเห็นทันทีไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดกว้างๆ ว่า ขณะใดที่เห็นแล้วก็มีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล กล่าวถึงขณะที่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่าแม้ขณะที่นอนหลับสนิท ความเห็นผิดก็ยังไม่ได้หมดสิ้นไป เพราะฉะนั้นทันทีที่เห็น จะบอกว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ละอัตตานุทิฏฐิได้ไหม หรือว่าเห็นแล้ว เป็นแต่เพียงพอใจในสิ่งที่เห็น โดยที่ไม่มีการยึดถือเป็นความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย หรือว่าขณะนั้นมีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะรู้ได้เมื่อปัญญาถึงระดับที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม จึงจะกล่าวได้ว่า ขณะนั้นมีความเห็นผิด กำลังเห็นผิด หรือมีโลภะที่กำลังติดข้องในอารมณ์ที่กำลังปรากฏทีละอารมณ์

        เพราะฉะนั้นการทรงแสดงสภาพธรรมโดยละเอียด แสดงเพื่อให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า จิตต่างกันอย่างไร เกิดดับสืบต่อกันอย่างไร ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร แต่ว่าการที่จะรู้จริงๆ ทีละ ๑ ขณะที่จะกล่าว เป็นไปไม่ได้ นอกจากเมื่อปัญญาเกิด และขณะนั้นกำลังมีสภาพธรรมนั้นปรากฏ ชั่วขณะที่ปรากฏด้วย

        ยังไม่ได้ดับการเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน ก็ยังคงมีเวลา หรือขณะที่เกิด และยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่ไม่ดับเลย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 326


    หมายเลข 12374
    23 ม.ค. 2567