ก่อนเป็นกุศลหรืออกุศล ต้องเป็นกิริยาจิต


        ผู้ฟัง อยากจะกราบเรียนถามว่า ฟังจากคำบรรยายใช้คำพูดว่า ก่อนที่จะเป็นกุศล หรืออกุศล ชาติจะต้องเป็นกิริยาก่อน ทั้งทางปัญจทวาร และทางมโนทวาร กราบขอความเข้าใจท่านอาจารย์ตรงนี้ค่ะ

        ท่านอาจารย์ ค่ะ การฟังธรรมก็ต้องพิจารณาว่า เราจะติดที่คำไม่ได้ จะใช้คำว่า ตัดสิน หรือไม่ตัดสิน ก็ตามแต่ แต่เข้าใจลักษณะของจิตซึ่งเกิดก่อนชวนะ เกิดก่อนกุศล และอกุศลไหม หมายความว่า จิตที่จะเกิดขึ้นแต่ละขณะ ต้องเป็นไปตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ขณะนี้เราจะไม่รู้เลยว่า จิตไหนเกิดแล้วดับไป แล้วจิตอะไรเกิดสืบต่อ แล้วจิตที่เกิดก่อนเป็นชาติอะไร แล้วจิตที่เกิดต่อเป็นชาติอะไร ไม่ใช่วิสัยที่จะรู้ในขณะนี้ ทั้งหมดที่เราเรียนเป็นความละเอียดที่ทรงแสดงให้เห็นว่า จิตแต่ละขณะต่างกันตามเหตุตามปัจจัย เพื่อไม่ให้ยึดถือว่าเป็นเราสักขณะเดียว

        เพราะฉะนั้นในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ปฏิสนธิจิต จิตขณะแรกที่เกิด ไม่ได้ทำกิจเห็น ไม่ได้ทำกิจได้ยิน ไม่ได้ทำกิจคิดนึก แต่ทำปฏิสนธิกิจสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ซึ่งจะเป็นกุศลจิต และอกุศลจิตไม่ได้

        นี่คือการจะเข้าใจเหตุผล ไม่ใช่มีใครไปบันดาล และจัดแจงให้เป็นหมวดหมู่ และให้ศึกษาให้จำ แต่ความเป็นจริงของสภาพธรรมก็คือว่า เมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลหนึ่งในชาติหนึ่ง กรรมที่จะทำให้จิตเกิดสืบต่อก็แล้วแต่ว่า เป็นกรรมใดที่จะประมวลทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะเป็นไปในภพภูมิต่อไป ด้วยปฏิสนธิจิตที่เกิดสืบต่อ แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศลประเภทใด หรือว่าเป็นผลของอกุศล

        พิจารณาขณะนี้ก็ต้องเข้าใจตามลำดับว่า เป็นวิบาก จะให้เป็นกิริยาได้ไหม จะให้เป็นกุศลได้ไหม จะเป็นอกุศลได้ไหม ก่อนที่เราจะพิจารณาถึงจิตอื่นๆ ตามลำดับ เราก็พิจารณาได้ว่า ต้องเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมตามเหตุตามปัจจัย ๑ ขณะเกิดขึ้น จะเปลี่ยนขณะที่กรรมทำให้จิตที่เป็นวิบากนั้นเกิด แล้วให้เป็นวิบากอื่นได้ไหม ทันที ไม่ได้เลย แต่กรรมก็ยังทำให้วิบากประเภทเดียวกับที่ทำกิจปฏิสนธิ คือ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จะเป็นสัตว์ เป็นเทพ เป็นพรหม หรือเป็นมนุษย์ หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น จากกรรมนั้นที่ให้ผล ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด

        เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมก็ทำให้วิบากประเภทเดียวกันนั้นแหละเกิดสืบต่อ ดำรงภพชาติ ยังไม่ให้สิ้นสุด เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อ เป็นผลของกรรมเดียวกัน เมื่อเป็นผลของกรรมก็เป็นวิบาก แล้วก็ต้องจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิตด้วย เปลี่ยนไม่ได้เลย จนกว่าจะถึงจิตขณะสุดท้าย ก็ต้องดำรงความเป็นบุคคลนั้นไว้ เป็นชาติอะไรคะ วิบาก ยังไม่มีการเห็น ยังไม่มีการได้ยินใดๆ เลยทั้งสิ้น และกรรมก็จะให้ผลอย่างนั้นไปจนกว่าถึงกาลที่จะทำให้มีการเห็น หรือการได้ยิน หรือการคิดนึกก็แล้วแต่ แต่ถ้าเป็นการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทั้งหมดเป็นผลของกรรม เพราะว่ากรรมจะทำให้เพียงปฏิสนธิแล้วเป็นภวังค์ ดำรงภพชาติโดยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่อะไรเลย เป็นไปไม่ได้เลย จะเป็นผลของกรรมอะไรคะ แค่เกิดมาแล้วก็ไม่รู้อะไรทั้งหมด จะชื่อว่า เป็นผลของกรรมที่จะได้รับในชาตินั้น หรือเปล่า ก็เป็นไปไม่ได้

        เพราะฉะนั้นเมื่อดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น ถึงกาลที่กรรมจะให้ผล ทางตา หรือหู จมูก ลิ้น กาย เลือกได้ไหม นี่คือแสดงความเป็นอนัตตา และกรรมก็ทำให้รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ ให้เห็น หรือให้ได้ยิน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือกรรมทำให้จักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูปซึ่งซึมซาบอยู่ทั่วตัวเกิด

        จิตทำให้กัมมชรูปเกิดได้ไหม มีใครอยากให้จักขุปสาทรูปเกิด แล้วจักขุปสาทรูปก็เกิดได้ไหมคะ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยค่ะ รูปใดที่เกิดจากกรรม เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิด ถ้ากรรมเป็นปัจจัยไม่ให้เกิดอีกต่อไป เป็นไปได้ไหมคะ ก็เป็นไปไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็ให้ทราบว่า รูปใดเกิดขึ้นเพราะกรรม เพื่ออะไร มีจักขุปสาทเพื่ออะไรคะ เพื่อเห็น แล้วจิตเห็นเป็นผลของกรรมที่ต้องเห็น เลือกไม่ได้ ถ้ากรรมนั้นขณะนั้นให้เห็นสิ่งนั้น ถ้าเป็นเสียงถึงกาลที่กรรมจะทำให้ได้ยินเสียง เสียงก็มีทั้งเสียงที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ ใครเลือกได้ และเสียงนั้นยังไม่หมด เพียงเกิดแล้วมีอายุ ๑๗ ขณะ ยังไม่ดับ โสตปสาทก็มีอายุ ๑๗ ขณะ ยังไม่ดับ กระทบกันเป็นปัจจัยให้จิตได้ยินซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดขึ้น แต่ว่าขณะที่เป็นภวังค์อยู่ จะให้จิตได้ยินเกิดขึ้นทันที เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นภวังค์ ต้องสิ้นสุดกระแสภวังค์เสียก่อน แล้วจิตอื่นจึงจะเกิดได้

        ด้วยเหตุนี้เมื่อมีอารมณ์กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเราไม่รู้เลย แต่เมื่อกระทบแล้ว ภวังค์ ไหว ที่จะสิ้นสุดกระแสภวังค์ ที่จะรู้อารมณ์ใหม่ เพราะกรรมเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบปสาทรูปนั้นๆ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ้นสุดกระแสภวังค์แล้ว ความละเอียดก็คือว่า จากชาติที่เป็นวิบากซึ่งดำรงภพชาติ และจะเปลี่ยนเป็นผลของกรรมหนึ่งกรรมใดโดยทันที เป็นไปไม่ได้ ต้องมีจิตที่เป็นชาติกิริยาเกิดคั่น ทำอาวัชชนกิจ คือ นึกถึงอารมณ์ที่กระทบ ขณะแรกที่เป็นวิถีจิต

        เพราะฉะนั้นจึงต้องทราบว่า จิตมี ๒ ประเภทใหญ่ คือ ที่เป็นวิถีจิต กับไม่ใช่วิถีจิต จิตที่ไม่ใช่วิถีจิตก็คือ ปฏิสนธิจิต จิตขณะแรกที่เกิดในภพนี้ จุติจิต จิตขณะสุดท้าย ก็เป็นผลของกรรมเดียวกัน ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ตายไม่ได้ เพราะจิตเกิดขึ้นดำรงภพชาติทำภวังคกิจ

        เพราะฉะนั้นภวังคกิจ เป็นกิจหนึ่งซึ่งเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมเดียวกับปฏิสนธิจิต แล้วจะไปทำหน้าที่อื่นไม่ได้ นอกจากหน้าที่ของภวังค์ ก่อนที่วิถีจิตจะเกิด

        ก่อนที่วิถีจิตจะเกิด วิถีจิตแรกยังไม่ใช่วิบาก ต้องเป็นเพียงจิตที่สามารถจะรู้อารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอิฏฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ ถ้าเป็นจิตที่สามารถจะรู้สิ่งที่ไม่ดี จิตนั้นต้องเป็นอกุศลวิบากแล้ว ถ้าเป็นจิตที่สามารถรู้สิ่งที่ดี จิตนั้นต้องเป็นกุศลวิบาก แต่ในขณะนั้นยังไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยินเลย เพียงแต่เมื่อมีอารมณ์กระทบซึ่งอารมณ์นั้นจะเป็นอิฏฐารมณ์ก็ได้ อนิฏฐารมณ์ก็ได้ ด้วยเหตุนี้จิตที่เกิดขึ้นเป็นวิถีจิตแรก เพราะภวังค์สิ้นสุดแล้ว เกิดขึ้นโดยอาศัยภวังค์ก่อนเป็นอนันตรปัจจัย ทำให้จิตที่เกิดสืบต่อรู้ว่า อารมณ์กระทบ แต่ยังไม่รู้ ยังไม่สามารถเห็น หรือได้ยิน ก็ตามแต่ อารมณ์ที่ดี หรือไม่ดี เพราะฉะนั้นจึงเป็นกิริยาจิต

        อย่างนี้ก็ไม่น่าสงสัย ใช่ไหมคะ ใครจะไปเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ แล้วพอถึงโวฏฐัพพนจิต ก็เช่นเดียวกัน จากวิบากจิต ซึ่งเป็นจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ที่จะเป็นกุศล หรืออกุศล เปลี่ยนชาติ ก็ต้องมีจิตที่เกิดคั่น เป็นกิริยาจิต แล้วถ้าเป็นทางปัญจทวาร ก็เป็นโวฏฐัพพนจิต จะแปลว่าอะไร จะทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ให้ทราบว่า มีจิตซึ่งเกิดทำกิจนั้น กิจนั้นจะแปลว่าอะไรก็ตาม แต่ถ้ากิจนั้นไม่เกิด กุศลจิต และอกุศลจิตก็เกิดไม่ได้ เพราะว่ากุศลจิต และอกุศลจิตไม่ใช่วิบากจิตที่เกิดขึ้นสืบต่อ โดยเป็นผลของกรรม แต่กุศลจิต และอกุศลจิต ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นไปตามการสะสมที่ได้สะสมมา

        เพราะฉะนั้นถ้าได้สะสมมา ที่ขณะนั้นจิตที่เกิดก่อนที่ทำโวฏฐัพพนกิจ เป็นกิริยาจิต ดับไปแล้ว ก็แล้วแต่ว่าขณะต่อไปจะเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

        ผู้ฟัง ก็ต้องกราบท่านอาจารย์ที่จะพูดว่า คำบรรยายของท่านอาจารย์ละเอียด คือ ได้เน้นมาเลยว่า ก่อนที่วิถีจิตจะเกิด ไม่ว่าจะเป็นทางปัญจทวาร หรือทางมโนทวาร วิถีแรกก็จะต้องเป็นกิริยาจิต หรืออย่างโวฏฐัพพนะที่จะเกิดก่อนกุศล อกุศล เป็นกิริยาจิต แล้วถ้าเป็นทางมโนทวาร ก็ต้องเป็นมโนทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นกิริยาจิตที่ต้องเกิดก่อนกุศล หรืออกุศลด้วย คือ ตรงนี้ดิฉันคิดไม่ได้ค่ะ

        ท่านอาจารย์ ไม่มีใครคิดได้ค่ะ นอกจากฟัง แล้วก็รู้ว่าสภาพของจิตเป็นอย่างนี้ค่ะ

        ผู้ฟัง เป็นความละเอียดที่ท่านอาจารย์กรุณานำมาให้เห็นว่า ต้องมีกิริยาจิตก่อนจะมีกุศล หรืออกุศลเกิดขึ้น ก็กราบเท้าท่านอาจารย์

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 322


    หมายเลข 12355
    24 ม.ค. 2567