แม้สภาพธรรมปรากฏแต่ถ้ายังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ก็ไม่เข้าใจ


        สุกัญญา ขณะที่เราไม่รู้ก็มากมายมหาศาล

        สุ. เพราะฉะนั้นหวังอะไร

        สุกัญญา หวังที่จะรู้

        สุ. หวังแล้วจะสมหวังไหมคะ

        สุกัญญา ไม่สมหวังแน่นอน

        สุ. ค่ะ เพราะฉะนั้นเป็นเหตุเป็นผลที่จะหวังต่อไปหรือเปล่า

        สุกัญญา แต่ทุกสิ่งก็ห้ามเหตุ และปัจจัยไม่ได้ แล้วบังคับบัญชาไม่ได้ด้วย

        สุ. เพราะฉะนั้นปัญญาไม่ถึงการที่จะประจักษ์ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม ปัญญามีเพียงแค่นึกขึ้นมาได้ว่า เป็นจิต เจตสิก รูป

        ที่ฟังมาทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ ซึ่งไม่ใช่เราพยายามไปสร้าง ไปทำ หวังจะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตามกำลังของความเข้าใจธรรม

        เพราะฉะนั้นฟังธรรมมาเป็นปีๆ เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้เกิดคิดว่า เป็นจิต เจตสิก รูปเท่านั้น คือ ปัญญามีระดับที่จะระลึกได้เพียงเท่านั้น แต่จะให้เป็นปัญญาถึงขั้นที่ประจักษ์ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ยังไม่ถึงความเป็นปัจจัยที่จะทำให้ความรู้อย่างนั้นเกิดขึ้น

        เพราะฉะนั้นยิ่งหวังยิ่งทุกข์ เพราะว่าอย่างไรๆ ก็ไม่ถึง เป็นการเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อย่าลืมนะคะ มีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลได้ ไม่ใช่เพราะหวังว่า เมื่อไรจะรู้อย่างนั้น แต่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นเครื่องยืนยันปัญญาที่ได้สะสมมาว่า ระดับไหน ก็เป็นจริงระดับนั้น แล้วจะเห็นตามความเป็นจริงได้ว่า การที่จะรู้ลักษณะของธาตุที่เป็นสภาพรู้ที่กำลังเห็น ไม่ใช่ง่ายเลย แม้ว่ามีจริง เกิดขึ้นทำกิจนี้ในขณะที่กำลังเห็น ความไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์ในความเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วก็หมดไป

        เพราะฉะนั้นจะฟังอีกนานเท่าไร ไม่ใช่เรื่องของกาลเวลาว่า เราฟังมาเท่านั้นเท่านี้ แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจที่รู้ว่า ปัญญาจะเจริญ ไม่ใช่รู้อื่น แต่จะต้องสามารถประจักษ์ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง และไม่ใช่ดังหวังด้วยนะคะ แต่การที่จะเป็นผู้ตรงว่า ที่ได้ฟังมาแล้วทั้งหมดสามารถจะปรุงแต่งได้แค่ไหน ได้แค่ที่จะไม่คิดถึงอย่างอื่น แต่มีลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ให้เริ่มค่อยๆ เข้าใจสิ่งนั้น โดยที่ยังไม่เป็นสิ่งอื่น นั่นคือลักษณะของสติสัมปชัญญะ และปัญญา ซึ่งวันหนึ่งก็สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเห็นได้ และสภาพธรรมอื่นๆ โดยการละคลายความไม่รู้ ไม่ใช่โดยการหวังตลอดเวลา และไม่สามารถเป็นอย่างที่หวังได้ เพราะเป็นเรื่องของปัญญา

        ทุกคนลืมเรื่องปัญญาหมดเลย จะให้มีสติเยอะๆ จะให้เข้าใจทันที จะให้ประจักษ์แจ้ง แต่ว่าปัญญา คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ข้ามไปหมด เพราะฉะนั้นนั่นไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ความจริงได้

        สุกัญญา เข้าใจค่ะ แต่ว่า

        สุ. แล้วรู้หรือยังว่า คุณเข็มอยู่ที่ไหน

        สุกัญญา คุณเข็มไม่มีค่ะ

        สุ. แล้วทำไมพูดว่าคุณเข็ม

        สุกัญญา เพียงแค่สมมติ

        สุ. ค่ะ อยู่ที่คิด ถ้าไม่คิด จะมีอะไรไหมสักอย่างเดียว สิ่งที่ปรากฏก็เพียงปรากฏ จะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดได้อย่างไร ในเมื่อลักษณะจริงๆ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถปรากฏเมื่อไร เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้กระทบกับจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาท จิตเห็นเกิดขึ้นไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏทางตา แม้มีจริง ก็ไม่ปรากฏ ถึงแม้ปรากฏ ไม่รู้ความจริง ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยตลอด ด้วยความคิดนึก จะคิดว่าเป็นโต๊ะ จะคิดว่าเป็นคุณเข็ม จะคิดว่าเป็นดอกกุหลาบ จะคิดว่าอะไร ก็เพราะมีสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วคิด เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

        เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า สัจจะ ธรรมที่มีจริง มีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าคุณเข็มอยู่ที่ไหน ใครควรจะตอบ คนที่เข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจแล้วจะตอบได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ก็ทราบแล้วใช่ไหมว่า คุณเข็มอยู่ที่ไหน

        สุกัญญา อยู่ที่คิด

        สุ. อยู่ที่คิดค่ะ

        สุกัญญา ในขณะที่คิด ก็คิดอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้รู้เลยว่า สภาพนั้นเป็นสภาพคิดนึก มันอยู่ในเรื่องราวบัญญัติ เรื่องราวทั้งหลายหมดเลย

        สุ. จะเปลี่ยนแปลงขณะนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ

        สุกัญญา จริงๆ เปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่าท่านอาจารย์ช่วยเกื้อกูลในสภาพความคิดนึกค่ะ

        สุ. ค่ะ เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าขณะใดที่ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ขณะนั้นคิด ทั้งหมดเลย

        เพราะฉะนั้นเห็นนี่สั้นมาก เราไม่รู้เลย ไม่มีทางจะรู้ได้ ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะต้องเป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้ว สามารถแทงตลอดความจริงนี้ได้ เพราะละคลายความไม่รู้ แต่ถ้ายังเต็มไปด้วยความไม่รู้ แม้สภาพธรรมนี้ปรากฏ ก็ไม่เคยเข้าใจ นึกถึงเรื่องอื่นไปทันที ตลอด ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตามแต่ ไม่มีขณะที่กำลังเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นโลกของความคิดนึกว่า สิ่งที่ปรากฏเกิดดับสืบต่อเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แล้วก็จะมีความเข้าใจหรือความเห็นอย่างนี้ สัญญาความจำอย่างนี้ ซึ่งเป็นอัตตสัญญา ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอด จนกว่าความเข้าใจจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่มีเราด้วย มีแต่ธรรม

        ก็ต้องอาศัยการอบรมเป็นกาลเวลาที่ยาวนาน จีรกาลภาวนา เพราะเหตุว่าสะสมความไม่รู้มาจีรกาลเหมือนกัน นานแสนนานด้วย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 305


    หมายเลข 12266
    24 ม.ค. 2567