เหมือนหลับแล้วตื่น


        ผู้ฟัง ปรมัตถธรรมปรากฏเพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่เรื่องราวในชีวิตประจำวันที่เป็นนายประทีปกำลังพูด กำลังเห็นคนโน้นคนนี้ต่างๆ เป็นเรื่องคิดนึกทั้งหมดเลยหรือครับ

        สุ. ค่ะ จิตเห็นก็มากมาย ดับไปแล้ว กลับมาอีกไม่ได้ จิตนึกคิดก็มากมายดับไปแล้ว ก็เหมือนอยู่ในความไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วมาก จนกว่าสติสัมปชัญญะรู้ลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นจึงจะเป็นขณะที่กำลังรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมว่า ขณะนั้นกำลังสัมผัส หรือกำลังเริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริง เพราะเหตุว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงก็เกิดดับโดยไม่รู้ไปเรื่อยๆ มากมายเหมือนทะเล เหมือนมหาสมุทร ดับไปแล้ว แต่ขณะใดที่สติสัมปชัญญะเกิด ก็คือขณะที่กำลังมีลักษณะนั้นปรากฏกับสติสัมปชัญญะ เริ่มที่จะรู้ว่า เป็นสภาพธรรม

        ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นในชีวิตประจำวัน ทุกๆ คนต่างก็มีลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็คิดว่า ลักษณะอย่างนี้เป็นน้องเรา เป็นหลานเรา เป็นสหายธรรมเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นภูเขา เป็นดอกไม้ ก็มีลักษณะทั้งนั้นเลยหรือครับ

        สุ. ค่ะ กำลังฟัง ทุกคนได้ยินเสียงคุณประทีปใช่ไหมคะ เห็นในขณะที่ได้ยินคุณประทีป เกิดดับไปเรื่อยๆ หรือเปล่า เห็นไหมคะ สภาพธรรมเกิดดับเร็ว ขณะที่กำลังฟังคุณประทีป ไม่ใช่ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏไป ปรากฏไป ดับไป แต่กำลังฟัง มีเสียงกำลังปรากฏ แล้วก็มีนึกคิดเรื่องราวสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง

        เพราะฉะนั้นก็แสดงว่า ขณะที่กำลังเหมือนกับได้ยินเสียง และกำลังฟังคุณประทีป สภาพธรรมที่เห็น ไม่ได้หมดไปไม่มี ใช่ไหมคะ ไม่ใช่มีแต่เสียง ไม่ใช่มีแต่เฉพาะคุณประทีป กำลังฟังเสียงคุณประทีป ขณะที่กำลังฟังคุณประทีป ก็มีเห็น เพราะฉะนั้นเห็นในขณะที่กำลังฟังคุณประทีป เห็นนั้นเกิดดับไปตลอดเวลาหรือเปล่า เห็นไหมคะ โดยไม่รู้ ก็แสดงให้เห็นว่า จริงๆ แล้วการเกิดดับของสภาพธรรมเร็วมากด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเวลานี้หมดเสียงคุณประทีป หมดเรื่องคุณประทีป แต่ก็มีสภาพธรรมที่เกิดอีกแล้วก็ดับอีก สืบต่ออยู่เรื่อยๆ เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะกำลังฟังเสียงคุณประทีป จิตเห็นก็เกิดดับไปเรื่อยๆ ฉันใด ขณะนี้สภาพธรรมก็เป็นอย่างนั้นจนกว่าสติสัมปชัญญะเกิด จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งขณะที่กำลังเสียงคุณประทีป ไม่ได้รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นก็เกิดดับไปเรื่อยๆ ฉันใด ขณะนี้ทุกอย่างกำลังเป็นอย่างนั้น คือ เกิดดับไปเรื่อยๆ จนกว่าสติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมใด ลักษณะของสภาพธรรมนั้นจึงปรากฏความจริงของลักษณะนั้น ในขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด แม้ขณะนี้ก็เป็นอย่างนั้น สภาพธรรมเกิดดับไปเรื่อยๆ ไม่รู้เลย เกิดดับไปกับความไม่รู้ จนกว่าสติสัมปชัญญะรู้ลักษณะใด ก็เริ่มจะรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมขณะนั้น

        เพราะฉะนั้นจะต้องห่วงใยไหมคะ ขณะนี้ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ทุกอย่างก็เกิดดับไปหมด พอสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไร ก็เหมือนตื่น แล้วรู้ลักษณะของสิ่งนั้น แล้วก็เหมือนหลับไปอีก ด้วยความไม่รู้ แม้ว่าสิ่งนั้นก็เหมือนปรากฏอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงก็คือเกิดดับไปเรื่อยๆ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 271


    หมายเลข 12075
    23 ม.ค. 2567