สเหตุกจิต-อเหตุกจิต


        สุ. สำหรับอเหตุกจิต เป็นวิบาก ๑๕ ประเภท เป็นกิริยา ๓ ประเภท จึงเป็นอเหตุกะ ๑๘ ประเภท และ ๑๐ ก็รู้แล้ว กิริยาจิตรู้ไปแล้วเท่าไรคะ

        ผู้ถาม

        สุ. ๒ คือ ปัญจทวาราวัชชนจิตกับมโนทวาราวัชชนจิต และตอนนี้จะรู้อะไรเพิ่มขึ้น หลังจากที่จักขุวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะเป็นวิบากอีก ๒ รวมเป็น ๑๔

        ทันทีที่สัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว ต้องมีจิตเกิดต่อ แต่ว่าเป็นจิตอะไร ต้องเพราะสมันตรปัจจัยว่า เมื่อสัมปฏิจฉันนะดับไปแล้ว เพียงรับ จิตต่อไป คือ จิตที่ทำสันตีรณกิจ รู้เพิ่มขึ้น รับแล้วก็รู้ โดยศัพท์จะใช้คำว่า “พิจารณา” สันตีรณะ แต่ลองคิดถึง ๑ ขณะจิต เวลาเราใช้ “พิจารณา” พิจารณานานใช่ไหมคะ บางทีพิจารณาทั้งวัน ยังคิดไม่ออก แต่นี่ชั่ว ๑ ขณะจิตที่ทำกิจพิจารณาอารมณ์ ไม่ได้ให้ไปทำอย่างอื่น ไม่ใช่ให้รู้ว่า เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือเกิดอย่างไร ไม่ใช่นะคะ เพียงแต่ว่าพิจารณาอารมณ์ที่รับต่อ เท่านั้นเอง พิจารณาในความเป็นอารมณ์นั้น ซึ่งเป็นอิฏฐารมณ์ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็กำลังรู้สิ่งที่ดี น่าพอใจ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม วิบากก็ต้องรู้สิ่งที่ไม่ดี ที่ไม่น่าพอใจ

        สำหรับสันตีรณจิต มีที่เป็นอกุศลวิบาก ๑ และกุศลวิบาก ๒ รวมเป็นสันตีรณจิต ๓ ยังขาดอเหตุกะอีก ๑ เท่านั้น

        ผู้ถาม หสิตตุปาทจิต

        สุ. ค่ะ เป็นชาติอะไรคะ เพราะว่าอเหตุกะมี ๑๘ เป็นวิบาก ๑๕ เป็นกิริยา ๓

        ผู้ถาม เป็นกิริยาจิต

        สุ. ฟังบ้าง คิดบ้าง จำบ้าง ก็ครบ และก็ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นด้วย

        หสิตตุปาทจิต เป็นอเหตุกจิต ไม่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เป็นจิตของใคร

        ผู้ถาม พระอรหันต์

        สุ. พระโสดาบันมีหสิตตุปาทจิตได้ไหมคะ

        ผู้ถาม ไม่ได้

        สุ. พระโสดาบันยิ้มเมื่อไร เป็นอะไรคะ

        ผู้ถาม ก็อาจจะเป็นกุศลหรืออกุศล

        สุ. ได้ทั้ง ๒ อย่าง เมื่อเวทนาเป็นโสมนัส เป็นจิตที่ทำให้เกิดการแย้มหรือการยิ้ม ถ้าผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็มากกว่านั้นอีก หัวเราะก็ได้ ก็เป็นชีวิตประจำวัน ที่เป็นจิตแต่ละขณะโดยละเอียด

        ถ้ากล่าวถึงอเหตุกจิต ๑๘ จิตอื่นเป็นอะไร นอกจากจิต ๑๘ ดวงนี้

        ผู้ถาม ก็มีเหตุ

        สุ. สเหตุกะ เกิดร่วมกับเหตุก็เป็นสเหตุกะ ถ้าไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ก็เป็นอเหตุกะ เท่านั้นเอง

        ผู้ถาม จิตอื่นนอกนี้ทั้งหมดเลยหรือคะ

        สุ. เป็นอะไร

        ผู้ถาม สเหตุกจิต

        สุ. ก็จะให้เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร หรือมีใครจะให้เปลี่ยนแปลง เมื่อทรงแสดงว่า อเหตุกะ ๑๘ เพราะฉะนั้นจิตอื่นทั้งหมดนอกนี้เป็นสเหตุกะ

        อย่างนี้ก็สะดวกสบายทั้งในเรื่องเหตุผล ในเรื่องความเข้าใจด้วย ในเรื่องความจำด้วย เวลานี้ใครไม่มีอเหตุกจิตบ้างคะ ใครไม่มีสเหตุกจิตบ้าง ก็ต้องมี บางขณะเป็นอเหตุกะ บางขณะเป็นสเหตุกะ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจการงานแล้วก็ดับไป จิตที่ดับไปแล้ว กลับมาเกิดอีกได้ไหมคะ

        ผู้ถาม ไม่ได้ค่ะ

        สุ. ค่ะ เราอยู่ที่ไหน

        ผู้ถาม ไม่มี ขอกราบเรียนถามอาจารย์อีกข้อหนึ่ง สันตีรณจิต บอกว่าทำหน้าที่ปฏิสนธิ และภวังค์ด้วย อย่างสันตีรณจิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ในมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ใน ปฏิสนธิจิตจะมีประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ แล้วตัวสันตีรณจิตตอนที่ทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ หรือรู้อารมณ์เพิ่มขึ้น จะมีอโลภะ อโทสะด้วยหรือคะ

        สุ. ไม่มีค่ะ อเหตุกะ ต้องยืนพื้นเลย

        ผู้ถาม แล้วอย่างไรละคะ บอกว่าเป็นจิตดวงเดียวกัน ทำหน้าที่ปฏิสนธิ พอปฏิสนธิก็มี

        สุ. ปฏิสนธิเป็นอเหตุกะมี เพราะฉะนั้นธรรมไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน เมื่อไร ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อเหตุกะทั้งหมดมี ๑๘ ดวง เป็นวิบาก ๑๕ ดวง เป็นกิริยา ๓ ดวง สำหรับในวิบาก ๑๕ ดวง เป็นอกุศลวิบาก ๗ เป็นอเหตุกกุศลวิบาก ๘ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้วจำ อกุศลวิบาก ๗ ได้ ก็จะเข้าใจกุศลวิบากที่เป็นอเหตุกะได้ด้วย เพิ่มขึ้นอีก ๑ ดวง

        ผู้ถาม สมมติว่า ปฏิสนธิเป็นอเหตุกะ เช่นอย่างพวกเราอย่างนี้ ไม่ใช่

        สุ. เมื่อกี้นี้บอกว่าเกิดที่ไหน ผลของอกุศลกรรม อกุศลวิบากมีเท่าไรคะ

        ผู้ถาม มี ๗ ทวิปัญจวิญญาณ ๕ สัมปฏิจฉันนะ ๑ สันตีรณะ ๑ เป็น ๗

        สุ. ครบ ๗ ไม่มีมากกว่านั้นเลย จะไปหาอกุศลวิบากที่ไหนให้มากกว่านี้ไม่ได้เลย

        ผู้ถาม แล้วปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิตด้วย ใช่ไหมคะ

        สุ. กุศลจิตทำกิจปฏิสนธิได้ไหม ในเมื่อเป็นเหตุที่ทำให้จะให้เกิดผล ไม่ใช่ตัวผล แต่เป็นตัวเหตุ การเกิดเป็นผลหรือเป็นเหตุ

        ผู้ถาม เป็นผล

        สุ. เพราะฉะนั้นก็เป็นวิบาก กุศลทำกิจปฏิสนธิไม่ได้ อกุศลทำปฏิสนธิกิจไม่ได้

        ผู้ถาม หนูคิดว่า เวลาที่เราพูดถึงสันตีรณจิตเป็นอเหตุกจิต หรือปฏิสนธิจิตของปุถุชนก็..

        สุ. จะเอาปฏิสนธิที่ไหนดีคะ ทีละภพทีละภูมิ

        ผู้ถาม อย่างเรา คนธรรมดาปุถุชน

        สุ. เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกรรมอะไร กุศลหรืออกุศล เป็นผลของกุศลกรรม มนุษย์ในโลกนี้ต่างกันมากไหม หรือไม่ต่างกันเลย

        ผู้ถาม ต่างกัน

        สุ. ต่างเพราะอะไร เพราะกรรมที่ทำต่างกัน กรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ให้ผล ปฏิสนธิจิตจะมีปัญญาเกิดร่วมด้วยไหม ไม่มี เพราะฉะนั้นคนเราก็มีทั้งที่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย และไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถูกต้องไหมคะ ถึงคนที่ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็มีอโลภะ อโทสะเกิดร่วมด้วยก็มี แต่ก็ยังต่างกันออกไปอีก คนที่พิการ บ้าใบ้ บอดหนวก ตั้งแต่เกิดมาไม่ได้หมายความว่า ภายหลังเกิดแล้วเป็น แต่กรรมเบียดเบียนทำให้ไม่มีจักขุปสาท เป็นคนตาบอด หรือไม่มีโสตปสาท เป็นคนหูหนวก หรือจะเป็นคนพิการ ปัญญาอ่อน อย่างไรก็แล้วแต่ ก็จะต้องเป็นอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ผลของกรรมซึ่งประกอบด้วยเหตุที่ดี คือ อโลภะ อโทสะ

        เพราะฉะนั้นก็จะเป็นผลของกุศลอย่างอ่อน ที่สามารถจะมีผลของอกุศลกรรมเบียดเบียน แต่ก็ไม่ได้เกิดในอบายภูมิ

        ด้วยเหตุนี้ใครจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ แต่เมื่อเป็นผลของกุศล ก็ยังเกิดในสุคติภูมิ แต่ว่าต่างกับบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นจิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ที่เป็นสันตีรณอกุศลวิบาก ทำให้เกิดในอบายภูมิ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 265


    หมายเลข 12026
    10 ม.ค. 2567