ถ้าไม่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ไม่มีทางที่จะคลาย


        ผู้ฟัง มาฟังที่นี้ใหม่ๆ ได้ยินคำว่า สุตตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา รู้สึกว่าห่างไกลมาก แต่พอฟังไปบ่อยๆ อยากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ขณะนี้ทั้ง ๓ อย่างเกิดอยู่แล้ว

        สุ. คงไม่ต้องไปกังวลว่าเป็นสุตตมยะ หรือจินตามยะ หรือภาวนามยะ แต่ว่ามีการฟัง ความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง สำเร็จเพราะฟัง จะชื่อว่าอะไร ในเมื่อเป็นความเข้าใจที่สำเร็จจากการฟัง เพราะมีการฟัง เวลาที่ฟังแล้วก็ยังไตร่ตรองให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงขึ้น เพิ่มขึ้น ขณะนั้นจะกล่าวว่าอะไร และขณะนั้นเมื่อมีความเข้าใจแล้ว ก็เป็นการเข้าใจขึ้นอีก เพราะว่ารู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง พิสูจน์ได้ สามารถรู้ความจริงได้ การฟังแล้วเข้าใจขึ้น นั่นก็คือการอบรมให้เกิดปัญญายิ่งขึ้น

        ผู้ฟัง ค่ะ ฟังแล้วก็เข้าใจว่า แม้แต่ขั้นเข้าใจจนสติปัฏฐานเกิด ก็ยังต้องมาฟังอีกเพื่อให้ปัญญาเจริญขึ้นเรื่อยๆ หรือสติเจริญ

        สุ. ก็ลองคิดดู ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็พูดมากมายเหลือเกิน ละความไม่รู้หรือเปล่า

        แข็งกำลังปรากฏ แข็งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดดับ และเวลาที่จิตเกิดขึ้นรู้แข็ง เป็นเพราะกรรมที่ได้กระทำแล้วให้ผล ทำให้จิตรู้แข็งเกิดขึ้น ซึ่งขณะที่รู้แข็งนั้น จะมีเวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างหนึ่งอย่างใด คือ สุข หรือทุกข์ ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่ก็ยังยึดถือว่าเป็นเรา

        เพราะฉะนั้นต่อให้ฟังมากสักเท่าไร ละเอียดมากสักเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าไม่ประจักษ์ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม ไม่มีทางที่จะแม้เพียงคลายความเป็นเรา หรือการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเราได้ ก็ต้องค่อยๆ ฟังไป การฟังเพื่อเข้าใจ ทำให้ละความต้องการ หนทางเดียวที่จะละโลภะ เพราะว่าโลภะสามารถทำให้แต่ละคนยังคงอยู่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไป ทั้งๆ ที่อยู่มานานแสนนาน ก็ยังมีกำลังที่จะให้อยู่ต่อไปอีกนานแสนนาน เพราะไม่รู้ความจริง และมีความต้องการด้วยความเป็นตัวตน

        เพราะฉะนั้นกถา หรือคำพูดใดๆ ก็ตาม ที่ไม่ทำให้ติดข้องต้องการ กถานั้นเป็นกถาที่ทำให้คลายความติดข้อง หนทางเดียวที่จะโลภะ คือ ความต้องการซึ่งเปลี่ยนจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อาจจะต้องการผล คือ การเข้าใจธรรมมากๆ การประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมได้

        นี่คือความต้องการ ซึ่งเมื่อปัญญาเกิดขึ้น ความรู้นั้นจะค่อยๆ คลายความไม่รู้ เพราะรู้ว่า ไม่ใช่สามารถประจักษ์ลักษณะสภาพธรรมด้วยความต้องการ หรือด้วยความเป็นเรา หรือด้วยกลวิธี หรือด้วยอุบายใดๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องเพราะปัญญาอย่างเดียว ปัญญาคือความเห็นถูกต้องในลักษณะของสิ่งที่มีจริง อาศัยการฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

        วันนี้ใครรู้บ้างว่า อวิชชา ความไม่รู้ กับโลภะมากแค่ไหน ใครรู้บ้างคะ ทีละเล็กทีละน้อย ฉันใด และปัญญาที่จะค่อยๆ เข้าใจถูก เห็นถูกจากการฟัง จะให้มากมายต่างจากการสะสมของแต่ละขณะได้อย่างไร ในเมื่ออกุศล คือ อวิชชากับโลภะ ก็ทีละเล็กทีละน้อย ทีละขณะ ทีละวาระ จนวันนี้มากแค่ไหน ก็ประมาณไม่ได้เลย แต่ไม่เคยรู้

        เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ จนสามารถละความไม่รู้ ก็ต้องเป็นอย่าง ไม่รู้เลยว่า ขณะนี้ความเข้าใจที่กำลังมี ก็จะค่อยๆ สะสมสืบต่อไป จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น

        ผู้ฟัง ขณะนี้ด้วยความมีตัวตน ก็รู้สึกโมโหว่า ทำไมธรรมก็มีอยู่ตลอด ก็ไม่ได้ระลึกเลย

        สุ. แล้วใครละคะโมโห ก็เราหมดเลย จนกว่าเป็นธรรมทั้งหมด ก็ลองคิดดูว่า จะนานไหม แม้จะคิดอย่างนี้ สติสัมปชัญญะก็สามารถจะรู้ลักษณะนั้นซึ่งดับแล้ว และก็มีขณะอื่นต่อไป ซึ่งสติสัมปชัญญะก็รู้ต่อไปอีก จนกว่าทั้งหมดเป็นธรรม

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 259


    หมายเลข 12017
    23 ม.ค. 2567