อนุสติต้องมีปัญญาเกิดร่วมด้วยหรือไม่


        อ.ธิดารัตน์ อนุสติที่ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้จะเหมือนสติที่ระลึกเป็นเรื่อง

        สุ. ค่ะ นึกเป็นเรื่อง ก็เป็นสติ ใช่ไหมคะ เพราะมีใครบ้างที่จะไม่คิดเป็นเรื่อง อย่างเมื่อกี้นี้เราก็กล่าวถึงพระคุณของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมพร้อมด้วยพระญาณต่างๆ สามารถที่จะทรงบัญญัติคำที่ทำให้บุคคลอื่นสามารถจะรับฟังเข้าใจได้ นั่นคือการระลึกถึงพระคุณที่เป็นคำพูด แต่การระลึกถึงพระคุณโดยประพฤติปฏิบัติตามได้ไหม ต้องกล่าวเป็นคำๆ หรือเปล่า ถ้าเวลาไหนที่สติสัมปชัญญะเกิด แม้ไม่กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระคุณประการใด แต่ถ้าไม่มีพระคุณประการนั้น สติสัมปชัญญะก็จะไม่มีการเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเลย

        เพราะฉะนั้นการรู้พระคุณ ไม่ใช่เป็นการกล่าวด้วยวาจา แต่ไม่แจ่มแจ้งในพระคุณ เพียงแต่ได้ยินคำ แล้วก็พูดตามๆ กัน ไม่ใช่เป็นความเข้าใจของตัวเองที่จะรู้ว่า พระคุณของพระองค์มากมายอย่างไร สามารถที่จะทำให้มีปัญญาเกิดขึ้นจากความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกระทั่งสามารถรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร แล้วก็มีหนทางที่จะอบรมเจริญความรู้นั้นให้มากขึ้น

        เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่า จะใช้คำว่า “อนุสติ” ในลักษณะใด ในลักษณะของสมถภาวนาที่ขณะนั้นไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นการระลึกถึงเนืองๆ บ่อยๆ

        ทุกคนฟังธรรมตอนเช้า ตื่นขึ้นมา เป็นการระลึกถึงพระคุณหรือเปล่า หรือว่าต้องไประลึกถึงพระคุณต่างหากอีก

        อ.ธิดารัตน์ คิดถึงพระธรรมค่ะ

        สุ. พระธรรมมาจากไหน ถ้าไม่มีพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมก็ไม่มี แม้ว่าจะมีปรมัตถธรรม แต่ถ้าไม่มีผู้ตรัสรู้ ก็ไม่สามารถกล่าวถึงปรมัตถธรรมนั้น เป็นพระธรรมเทศนาได้

        อ.ธิดารัตน์ อย่างนี้หมายความว่า ที่ใช้คำว่า “อนุสติ” ท่านมุ่งถึงสติที่เป็นกุศลเกิดขึ้นแล้วก็ระลึก แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องมีปัญญาหรือไม่

        สุ. ค่ะ แล้วแต่ว่าขณะนั้นเป็นอนุสติอะไร พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสติ สีลานุสติ เทวตานุสติ ขณะนั้นก็ไม่ใช่ระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ แต่สติสัมปชัญญะสามารถจะเกิดเมื่อไรก็ได้ เมื่อมีปัจจัย เพราะว่าขณะนั้นเป็นความจริง เป็นสิ่งที่มี และเกิดแล้ว ปรากฏด้วย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 255


    หมายเลข 11945
    23 ม.ค. 2567