หลงยีดถือสภาพธรรมที่เพียงปรากฏแล้วเป็นภวังค์


        แสดงให้เห็นว่า แต่ละขณะเวลานี้ที่สืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพราะไม่รู้ภวังคจิต แต่พอรู้ความเป็นภวังคจิต อะไรคะ พอปรากฏแล้ว หมดแล้ว ภวังค์เกิดคั่นแล้ว ใช่ไหมคะ ทางตาปรากฏซ้ำอีก ภวังค์เกิดคั่นอีกแล้ว ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมล้วนๆ จริงๆ ซึ่งอาศัยการฟังมานาน ไม่ใช่แต่เฉพาะในชาตินี้ การอบรมจะมีมาในกาลไหนๆ ก็ตาม เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้เกิดความคิดความเข้าใจที่แยบคาย พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น จนกระทั่งสามารถที่จะคลายความติดข้อง เพราะรู้ว่า โดยปริยัติ สภาพธรรมนั้นเพียงปรากฏสั้นมาก และก็เป็นภวังค์

        เพราะฉะนั้นถ้าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนั้น จะมีการหลงยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตนได้ไหม ในเมื่อเป็นสภาพธรรมที่เพียงปรากฏแล้วเป็นภวังค์ แล้วมีการเกิดอีก แล้วก็หมดอีก มีการเกิดอีก แล้วก็หมดอีก

        เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพระโสดาบัน ไม่มีความคิดที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่เป็นวิปลาส ไม่มีความเห็นที่คลาดเคลื่อนในความไม่ใช่ตัวตน คือ เป็นธรรม เพราะขณะนั้นเป็นธรรมที่เกิดแล้วดับ ไม่มีความเห็นคลาดเคลื่อนว่า สภาพธรรมนั้นไม่ใช่ทุกข์ เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป

        เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นตามลำดับขั้นของผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญาว่า การฟังในขณะนี้ไม่ได้สูญหายเลย ฟังแล้วเข้าใจ ก็จะสะสมสืบต่อพร้อมที่ว่า เมื่อใกล้จะจุติ กุศลจิตหรืออกุศลจิตจะเกิด ถ้าอกุศลจิตเกิด สิ่งที่สะสมมาก็ไม่ได้หายไปไหน อย่างม้ากัณฐกะ เมื่อจุติจิตของม้ากัณฐกะดับ ปฏิสนธิเป็นเทพบุตรในสวรรค์ ลงมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค ฟังธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน

        เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะไม่มีการรู้เลย แต่การฟังพระธรรมจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ข้อสำคัญที่สุด คือ เป็นผู้มีสัจจะ ตรงต่อลักษณะของสภาพธรรม ตรงต่อจุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะฟังอีกนานสักเท่าไร ก็เป็นเรื่องการค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าจะรู้แจ้งได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 254


    หมายเลข 11922
    23 ม.ค. 2567