เมื่อไม่สามารถที่จะเข้าถึงสภาพที่เป็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม


        เพราะแม้แต่ที่จะรู้ว่าขณะนี้เหมือนฝัน ในฝันมีทุกอย่าง ตื่นขึ้นไม่มีอย่างที่มีในฝันเลย เพราะฉะนั้นขณะนี้ปรมัตถธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แต่เมื่อไม่สามารถที่จะเข้าถึงสภาพที่เป็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ก็เป็นการที่จำเรื่องราวของสภาพธรรมด้วยความเป็นตัวตนด้วยความเป็นเรา และจำอย่างนี้ตั้งแต่เกิดไปจนตายทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเหลือเลยเหมือนกับขณะใดที่สติสัมปชัญญะเกิด ขณะนั้นมีสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏให้รู้ แม้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏด้วยแต่ไม่รู้ นี่คือความต่างกัน เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจความหมายของอวิชชา การที่ไม่สามารถจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้เพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน อวิชชา แม้สภาพธรรมกำลังเผชิญหน้าก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ ต่อเมื่อใดที่สติสัมปชัญญะเกิดมีลักษณะจริงๆ กำลังปรากฏ และเริ่มที่จะเข้าใจลักษณะนั้น นั่นคือการที่จะรู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วขณะอื่นก็เหมือนฝัน คือว่าลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏ แต่จำเป็นเรื่องเป็นราวจนกว่าขณะใดที่สภาพธรรมปรากฏ แล้วมีความเข้าใจในความเป็นปรมัตถธรรม ขณะนั้นจึงต่างกับขณะที่เหมือนฝัน สุข ทุกข์ไปในความฝัน และก็ไม่มีอะไรเหลือเลยจากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 231


    หมายเลข 11450
    23 ม.ค. 2567