อบรมปัญญาท่ามกลางอกุศล


    ขณะนี้จิตเกิดดับสืบต่อรวดเร็วสุดประมาณ ซึ่งอกุศลจิตสามารถเกิดได้ มากมายเป็นปกติทั้งทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ เช่น หลังจากที่แข็งปรากฏ ก็มีอกุศลเกิดได้ แต่สติปัญญาแม้เล็กน้อยที่เกิดแทรกท่ามกลางอกุศลที่ มากมายนั้น ก็เป็นประโยชน์ที่สามารถจะสะสมอบรมจนมีกำลังเพิ่มขึ้น และ เป็นไปเพื่อดับกิเลสอกุศลได้


    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ ปัญญาท่ากลางอกุศล

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เลย ฟังเข้าใจไหม ที่ฟังมาแล้วทั้งหมด ไม่ว่าเรื่องสติปัฎฐาน ไม่ว่าเรื่องดูจิต ไม่ว่าอะไรถูก อะไรผิด เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ระหว่างนั้นมีอกุศลบ้างหรือเปล่า เพราะสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ ในขณะที่กำลังฟังเข้าใจ มีเห็นไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าเห็นดับแล้ว อกุศลก็เกิด

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจท่ามกลางอกุศลทั้งนั้นเลย เพราะทั้งกำลังเห็นด้วย กำลังได้ยินด้วย ดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ นี่คือพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงความต่าง แม้กำลังฟังเข้าใจ จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน แล้วจิตอื่นก็มีเกิดดับ นับไม่ถ้วนด้วย เพราะว่าในขณะที่กำลังฟัง ก็มีเห็นด้วย มีได้ยินด้วย และใครจะรู้ว่า เมื่อเห็นดับไป จิตหนึ่งขณะเกิดขึ้นเห็นดับ จิตเกิดต่ออีก ๓ ขณะ การสะสมของอกุศลก็เกิดแล้วโดยไม่รู้ ขณะนี้เป็นสภาพธรรมทั้งหมดมากมาย แล้วไม่รู้ เพราะว่าอยู่ในความมืด พูดถึงได้หมดเลย ผัสสเจตสิก พูดได้ไหม มีหรือไม่ผัสสเจตสิก รู้ไหม ตอบได้ แต่อยู่ไหน ในความมืดทั้งหมด ความรู้สึกเดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกอะไร

    ผู้ฟัง รู้สึกเฉยๆ

    ท่านอาจารย์ อยู่ในความมืดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มืด

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเพียงจะพูด ดับไปแล้วทั้งหมดเลย เร็วอย่างนั้นท่ามกลางอกุศล ซึ่งสะสมมาพร้อมที่จะเกิด หลังเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เป็นต้นการฟังการได้ยินธรรม ก็มี การไตร่ตรอง การเข้าใจธรรม ก็มี นั่นคือการอบรมหรือภาวนา เพื่อที่จะให้ความเข้าใจนั้น เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น จนกว่าจะสามารถที่จะรู้ว่า ขณะไหนเป็นสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่เราเลยที่กำลังรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะขณะนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่พอจะรู้กันได้ก็คือว่า แข็งปรากฏ หลังจากที่แข็งปรากฏ ดับหรือเปล่า ไม่รู้ใช่ไหม ดับเร็วกว่าที่คิด และก่อนจะดับก็มีอกุศลเกิดแล้วด้วย นี่คืออภิธรรม ทรงแสดงเพื่ออะไร เพื่อให้ไม่หลงผิด ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ก็ไปทำให้ไม่รู้ขึ้น แต่พระธรรมที่เข้าใจแล้ว ค่อยๆ ชำระล้างความไม่สะอาด ความสกปรก สภาพที่เป็นเชื้อโรคของอกุศลทั้งหลาย ซึ่งมีมากในใจ ต้องชำระอันนี้ ไม่ใช่ไปพยายามดูอันโน้น ขณะที่กำลังเข้าใจ ไม่มีใครรู้ว่า เข้าใจน้อย แต่ก็ขณะนั้นไม่มีสภาพธรรมที่ไม่เข้าใจ ในขณะที่กำลังเข้าใจ นี่คือการละ ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลาย เพราะเข้าใจ

    ผู้ฟัง แต่ว่าอกุศลที่เกิด มาก

    ท่านอาจารย์ สติสัมปชัญญะยังไม่เกิด และถ้ามีปัจจัยที่สติสัมปชัญญะเป็นสติปัฎฐานเกิดน้อย อกุศลก็เกิดมาก นี่คือการอบรม เจริญปัญญา ท่ามกลางอกุศล ดีกว่าไม่มีเลยหรือไม่ แล้วมรรคอะไรล่ะ ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะเป็นมรรคได้หรือไม่ จะเป็นความเห็นถูกต้องได้ไหม จะเป็นการที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ โดยไม่ใช่ไปดู แต่ว่าสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง และเริ่มเข้าใจถูกในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ปัญญาเป็นอกุศลได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจเป็นอกุศลได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องมั่นคง ต้องตรง ก่อนปัญญาเกิด มีอกุศลเกิดเยอะแยะหรือไม่

    ผู้ฟัง เยอะ

    ท่านอาจารย์ ทางตาก็เห็น ทางหูก็ได้ยิน ทางใจก็คิดนึกเรื่องอื่น ปัญญาก็ค่อยๆ เจริญขึ้น ดีกว่าไม่มีเสียเลย ตอนนี้รู้หรือยัง ว่าปัญญาแค่ไหน อกุศลแค่ไหน แล้วจะประมาทหรือไม่ พระธรรมของพระองค์ทั้งหมดประมวลแล้ว เป็นพระปัจฉิมวาจา คือขณะนี้ ทุกสิ่งที่เกิด ดับ ไม่เที่ยง ไม่กลับมาอีกด้วย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

    ขอพูดเรื่องแข็งอีกนิดหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ลืมขณะนี้แข็งปรากฏ หลังจากนั้นมีอกุศลหรือไม่ อกุศลเกิดมากมาย เพราะแข็งดับเร็วมาก ที่แข็งปรากฎเหมือนไม่ดับ กี่จิตแล้ว กี่แข็งแล้ว ที่เกิดดับไป ถ้าสติสัมปชัญญะจะเกิดรู้แข็ง ชั่วหนึ่งขณะ ไม่มาก วาระหนึ่งก็ต้องน้อยกว่าแข็ง ซึ่งกำลังปรากฏว่า เหมือนไม่ได้ดับเลย แล้วถ้าไม่รู้อย่างนี้ จะละความเป็นเราได้ไหม เวลาเป็นอกุศลก็เดือดร้อน แต่ว่าถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรมทั้งหมด เมื่อสักครู่นี้หลงลืมสติ หมดแล้ว เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด รู้ทันทีว่าขณะนั้นมีปัจจัย แล้วก็ดับไปแล้วด้วย แล้วก็ท่ามกลางอกุศลต่อไป จนกว่าสติสัมปชัญญะ และความเข้าใจธรรม จะเป็นปัจจัยให้สติปัฎฐานเกิด โดยไม่ใช่เรา

    เพราะหนทางนี้ต้องนำไปสู่การดับความยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นเรา และดับหมด ไม่ใช่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความจำ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะใดๆ สิ่งที่มี ที่เคยยึดถือทั้งหมด โสดาปัตติมรรคจิตดับ คิดดู ไม่กลับมาอีกเลย เกิดขึ้นอีกไม่ได้เลย ต้องเป็นความรู้จริงๆ ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ค่ะ แม้นั่งฟังธรรมขณะนี้ ก็มีให้คิดเหมือนกัน ก็คือบางทีเราก็ใส่ใจ สนใจในธรรม แต่ขณะเดียวกัน ก็คิดเรื่องอื่นด้วย และขณะเดียวกัน บางทีได้ยินเสียงอื่น ก็สนใจเสียงอื่นด้วย ก็ไม่ทราบว่าเป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ โดยที่ธรรมอื่นเกิดแล้ว ดับแล้ว มากในความมืด เพราะว่า เห็นเวลานี้ อกุศลเกิดแล้ว หนึ่งขณะจิตเร็วแค่ไหน รู้ได้เลยว่าตราบใดที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูก


    หมายเลข 10936
    18 เม.ย. 2567