หลงนิมิต


        ท่านอาจารย์ การเห็นแจ้งความจริงของสภาพธรรมะ ไม่ใช่ขั้นฟัง และไม่ใช่สติเพิ่งเริ่มจะเกิด เพราะยังไม่คุ้นเลย ได้ยินมาตลอด เห็นก็เป็นธรรมะ โลภะก็เป็นธรรมะ โกรธก็เป็นธรรมะ คิดก็เป็นธรรมะ พูดได้ จำได้ ไม่มั่นคง เพราะเหตุว่าลืมแล้ว พอเห็นเป็นดอกไม้แล้ว ทวารไหนก็ไปนั่งคิด เพราะเหตุว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องคิด แต่เป็นเรื่องเข้าใจว่า เพียงแต่เริ่มเข้าใจว่า ขณะนี้เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ กว่าจะไม่มีใครเลย แล้วความจริงมีใคร หรือเปล่า มีแต่ธรรมะ

        เพราะฉะนั้น ธรรมะที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นธรรมะหนึ่ง สิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ในบรรดาธรรมะทั้งหมด เพราะฉะนั้น ให้รู้ว่า ยามใดก็ตามที่เห็น ขณะนั้นก็เป็นธรรมะประเภทหนึ่ง อย่างหนึ่ง มีจริงๆ เหมือนเสียงมีจริงๆ ไม่มีใครเห็นเสียง แต่เสียงก็ปรากฏให้ได้ยินว่ามีเสียง เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้กำลังปรากฏเพื่อให้รู้ว่า มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

        เพราะฉะนั้น เสียงเกิดแล้วดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิดแล้วดับ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วต้องดับ กว่าจะรู้ในความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เร็วมาก เป็นนิมิต แต่ก็สามารถเข้าใจถึงความไม่เที่ยงได้ ไม่ใช่สะสมความรู้ความเข้าใจ หวังเมื่อไรเป็นเครื่องเนิ่นช้า

        เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า โลภะติดข้องได้ทุกอย่าง เว้นโลกุตตรธรรม ก็จริง ขณะที่ฟังธรรมะใหม่ๆ บางคนทนไม่ได้ รอไม่ได้ ทำดีกว่า นี่คือไม่เข้าใจแม้แต่ ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา

        เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้ง ความจริงของสภาพธรรมะซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ก็ต้องมั่นคง ขณะนี้เกิดแล้วทั้งนั้นจึงปรากฏ โดยไม่มีใครไปทำอะไรเลย แม้แต่จะคิดจะทำอะไร ขณะนั้นก็มีสังขารขันธ์ สภาพเจตสิกซึ่งเคยคิด เคยจำมาแล้ว ทำให้คิดเรื่องนั้น กำหนดอย่างนั้นชั่วขณะแล้วก็ดับไป

        เพราะฉะนั้น จริงๆ ต้องเข้าใจโลกที่มืดสนิท มีมากไหม เห็นไหมคะ มีน่ะมีแน่ มากไหม ต้องมาก เพราะมีโลกเดียวที่สว่าง คือ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้

        เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่หลงอยู่ในความไม่รู้ ในนิมิต ในความทรงจำว่ามีคนชาตินั้นชาตินี้ หลายชาติมาแล้วเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เกิดแล้วก็ตาย วนเวียนไปในสังสารวัฏ แต่สิ่งที่ล่วงไปแล้วก็เหมือนชาตินี้ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ แล้วก็ไม่เหลือเลย ชาติหน้าก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะเกิดแล้วต้องตาย เมื่อตายแล้วก็ไม่มีการเป็นบุคคลนี้เหลืออีกเลย จะกลับมาเป็นคนนี้สัก ๑ ขณะก็ไม่ได้ เสียดาย หรือดีใจที่พ้นจากความเป็นบุคคลนี้

        ผู้ฟัง ได้ยินว่า เกิดดับ เกิดดับ แต่ในใจก็ยังปฏิเสธอยู่เสมอว่า ก็ยังเห็นอยู่ ทำไมถึงเรียกว่าดับครับ

        ท่านอาจารย์ มีเสียงที่ปรากฏเหมือนไม่ดับไหมคะ เวลานี้ ทุกคนได้ยิน เสียงอะไรก็ไม่รู้แล้วแต่สืบต่ออยู่ตลอดเวลาใช่ไหม ดับตอนไหน เพราะฉะนั้น ทางตาก็เช่นเดียวกัน การเกิดดับสืบต่อ ปรากฏเหมือนไม่ได้ดับ เวลานี้เสียงที่กำลังต่อๆ กันนี้ ดับตอนไหน แต่ความจริงถ้าเข้าใจถูกต้องว่า ขณะนี้ทันทีที่เห็นก็เหมือนเห็นคนทันทีเลย แล้วไม่ใช่คนเดียวด้วย หลายคนด้วยทันทีด้วย แล้วไม่ใช่เฉพาะคนหลายคน ยังมีดอกไม้ ยังมีโต๊ะ ยังมีนาฬิกา หลายๆ อย่าง เหมือนเห็นทันที แสดงให้เห็นการเกิดดับสืบต่อที่เร็วสุดจะประมาณได้ เพราะฉะนั้น รูปใดก็ตามที่เกิดดับสืบต่อ นิมิตที่ยาวก็ปรากฏ ถ้าเพียงเล็กน้อยก็สั้น เหมือนที่เราบอกว่า เสียงดับแล้ว แต่ที่บอกว่าเสียงดับแล้วรู้ไหมว่า กุศลจิต อกุศลจิตเกิดแล้วในเสียงนั้น ไม่ปรากฏเลย นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วอย่างยิ่ง

        เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจความหมายของ “นิมิต” สังขารนิมิต เพียงจิต ๑ ขณะใครจะรู้ว่า สั้นมากแค่ไหน ดับเร็วแค่ไหน และสิ่งที่ปรากฏทางตามีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ สั้นแค่ไหน ดับเร็วแค่ไหน

        เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความไม่รู้แค่ไหน เพราะว่าสภาพธรรมะเกิดดับสืบต่อเหมือนไม่ได้ดับไปเลย แต่ความจริงดับแล้ว แล้วไม่กลับมาอีกเลย


    หมายเลข 10304
    31 ธ.ค. 2566