จำว่าเป็นตัวตน


        ท่านอาจารย์ กำลังเห็น เข้าใจสิ่งที่ปรากฏทางตาว่าเป็นแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ หรือยัง

        ผู้ฟัง ก็เข้าใจขั้นฟัง

        ท่านอาจารย์ เท่านั้น เห็นไหมคะ แล้วก็สามารถเข้าใจจนกระทั่งรู้ความจริง สามารถละความติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ไม่ใช่ละความพอใจในสิ่งนั้น เพราะเหตุว่าอาสวะมี ๔ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ รูปที่กระทบตายังไม่ดับ แล้วไม่ได้มีแต่จิตเห็นขณะเดียว ก่อนเห็นเป็นภวังคจิต รูปยังไม่ได้กระทบ แต่เมื่อรูปกระทบแล้ว ภวังค์ไหว แล้วหยุดที่จะไม่เป็นภวังค์อีกต่อไป ที่ใช้คำว่า ตัดกระแสภวังค์ จิตที่เกิดต่อรู้ว่าอารมณ์กระทบ แต่ไม่เห็น เห็นไหมคะ ทรงแสดงไว้โดยละเอียดให้รู้ว่า ต้องเป็นอย่างนี้ และเวลาที่เห็นแล้ว จิตเห็น ๑ ขณะเท่านั้น แต่ขณะนี้ปรากฏนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ความรวดเร็วของจิตเห็นแสดงให้รู้ว่า ขณะที่เห็นเพียงเห็น ต่อจากนั้นไม่เห็น แต่มีอารมณ์เดียวรับรู้อารมณ์นั้นต่อ เพียงเท่านี้เราเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่า เป็นอย่างนี้ หรือเปล่า ว่าเพียงปรากฏชั่วขณะ จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วสิ่งนี้ดับ แล้วถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จริงๆ ว่า ขณะที่ไม่เห็นยังคิดได้เพราะจำ

        เพราะฉะนั้น ก็สามารถเข้าใจสภาพจำว่า สภาพจำที่ทรงแยกออกเป็น ๑ ขันธ์ ก็เพราะเหตุว่าจำตลอดไม่ว่าอะไรจะปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นอัตตสัญญา เห็นไหมคะ จำผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงให้รู้ว่า อนัตตสัญญาจะเกิดเมื่อไรจากการเริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ ไม่สนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ได้ไหมคะ แล้วจะละความเป็นตัวตนได้อย่างไร

        นี่คือความมั่นคง ไม่คิดเองว่า ทางตาไม่ต้องรู้ ทางหูไม่ต้องรู้ ทางไหนๆ ก็ไม่ต้องรู้ ไปรู้ทางที่อยากจะรู้เท่านั้น แล้วจะละความติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏได้อย่างไร เพราะทรงแสดงอุปาทานขันธ์ ๕ ทุกขันธ์เป็นที่ตั้งของความยึดถือ เพราะฉะนั้น เมื่อยึดถือมานานแล้ว ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง จะละการยึดถือได้อย่างไร ไม่ต้องคิดเอง แต่ฟังแล้วก็รู้ว่า ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอนที่อุปาทานจะค่อยๆ ละคลายได้ ก็ต่อเมื่อเข้าใจสภาพธรรมะที่ปรากฏ อาจหาญ ร่าเริง เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ค่อยๆ เข้าใจ

        ถ้าได้ยินคำว่า ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เชื่อไหม หรือไม่เชื่อ ไม่จำเป็นทางตาไม่ต้องรู้ นี่แสดงว่า ผู้นั้นไม่สามารถมั่นคงจริงๆ ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดไม่ถูก ทรงแสดง หรือเปล่าว่า รูปเป็นที่ตั้งของการยึดถือ รูปูปาทานขันธ์ ไม่ได้ยึดถืออย่างอื่นเลย ยึดถือรูปที่ปรากฏทุกวันอย่างนี้แหละ ยึดถือเสียง ยึดถือกลิ่น ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อกลางวันรับประทานอะไรคะ

        ผู้ฟัง หลายอย่างมาก

        ท่านอาจารย์ ไม่มีใครบอกว่า รสหวาน รสเค็ม แต่มีชื่อทั้งหมดเลย ก็แสดงให้เห็นว่า ยังไม่รู้ความจริงของแต่ละหนึ่งจริงๆ ได้ยินว่า จักขุวิญญาณรู้รูปารมณ์ ตอบได้ถ้าใครถาม แต่ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่เพียงปรากฏให้เห็นแล้วดับ แต่สืบต่อเร็วมากจนกระทั่งจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคืออัตตสัญญา แล้วเมื่อไรจะเป็นอนัตตสัญญา ต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งที่ประจักษ์จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมะ ใช้คำว่า ในลักษณะของสภาพธรรมะ คือต้องเป็นธรรมะ ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากธรรมะนั้น


    หมายเลข 10306
    31 ธ.ค. 2566