ความอัศจรรย์ของปัญญา


        สิ่งที่น่าอัศจรรย์มีบ่อยไหม และธรรมดาๆ อย่างนี้ อัศจรรย์ หรือไม่เหมือนใครอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น อัศจรรย์ที่ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมะที่ใครก็รู้ไม่ได้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นเพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับเร็วสุดจะประมาณได้ ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริงอย่างนี้ได้ โดยที่ว่าตั้งกี่แสนโกฏิกัป จะเป็นปี วัน เดือน มีใครเข้าใจอย่างนี้ได้ด้วยตัวเอง ไม่มีทางเป็นไปได้เลยใช่ไหมคะ

        เพราะฉะนั้น น่าอัศจรรย์ที่พระโพธิสัตว์ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงกาลที่จะตรัสรู้ความจริงก็สามารถบรรลุถึงพระญาณถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ น่าอัศจรรย์ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเปล่า หรือผู้ฟังพระธรรมสามารถเข้าใจจนรู้ความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และดับกิเลสได้ลำดับ น่าอัศจรรย์ไหมคะ เพียงแค่คำว่า “ดับกิเลส” แค่นี้ ธรรมดา หรือเปล่า เป็นไปได้ทุกวัน หรือเปล่า หรือไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาเท่านั้น

        เพราะฉะนั้น สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ไม่ใช่เกิดขึ้นบ่อยๆ ง่ายๆ แต่ว่าเป็นสิ่งที่ยากแสนยากที่จะมีสิ่งนั้นสามารถเกิดขึ้นเป็นไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

        เพราะฉะนั้น ลองดูก็ได้ กำลังขุ่นใจ ไม่ให้ขุ่นใจซิ ไม่ต้องโกรธมาก แค่นั้นบูชาด้วยการละได้ไหม ถ้าไม่ใช่ปัญญาไม่มีทาง

        เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า พระธรรมก็ทรงแสดง ธรรมะก็ฟังทุกวัน และมีศรัทธาด้วย แต่เวลาที่สภาพธรรมะอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะไม่รู้ในความไม่เที่ยง ในความเป็นอนัตตา ความต้องการที่จะไม่มี และอาจจะคิดยาวไป จะบูชาด้วยการไม่โกรธ แค่คิด แต่ยังไม่ได้ดับเหตุที่ทำให้โกรธ เพราะฉะนั้น ก็ยังต้องโกรธ แม้เพียงเล็กน้อย คือความขุ่นใจ

        เพราะฉะนั้น บูชาด้วยการเข้าใจว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ต้องตามลำดับขั้นของปัญญาจริงๆ

        เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การดับกิเลสหมด ไม่เหลือเลยทุกประเภท คิดว่าเป็นไปได้ไหม แต่ก็เป็นไปได้เมื่อปัญญาได้อบรมแล้วเท่านั้น ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ต้องเพราะปัญญา

        เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น การฟังขณะนี้ไม่ใช่เรา จิต เจตสิกเกิดดับสืบต่อ สังขารขันธ์ทั้งหลายกำลังปรุงแต่งน้อมไปที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมะที่เป็นจริงตามที่ได้ฟัง โดยไม่มีใครไปทำ ถ้ายังมีเราพยายาม ตั้งใจ นั่นก็คือผิด

        เพราะฉะนั้น สีลัพพตกายคันถะ การบำเพ็ญหนทางของประพฤติปฏิบัติทั้งหลายที่ไม่ตรง ละได้ ไม่เกิดอีกเลย ด้วยโสตาปัตติมรรค ก็แสดงให้เห็นถึงความยาก หรือความเป็นตัวตน หรือความเป็นทาสของตัณหา นายใหญ่ ยากที่จะพ้นไปได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญา ตั้งแต่เช้ามาก็คิดดู ขณะไหนที่ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของโลภะ แม้แต่ถ้าคิดอยากไม่มีโทสะ ขณะนั้นไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรา

        เพราะฉะนั้น กว่าจะไม่ใช่เราทั้งหมด ไม่เหลือเลย จึงจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ก็ไม่ใช่ไปไหน ไปทำอะไร แต่เพราะเหตุว่าได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจขึ้น นั่นแหละค่อยๆ ละคลายทีละเล็กทีละน้อย มิฉะนั้นไม่มีอะไรไปละคลายอกุศลได้เลย


    หมายเลข 10305
    29 ธ.ค. 2566