การเห็นที่ยอดเยี่ยม


        กำลังเห็นอยู่ทุกคน แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่สิ่งที่ยอดเยี่ยม ถ้าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น ก็จะต้องรู้ว่า แม้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งนั้นคืออะไร ที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ในครั้งพุทธกาลก็มีการเห็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ที่ยอดเยี่ยม หรือประเสริฐกว่าอย่างอื่น คือพระรูปกายของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระสาวกที่ท่านได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ในยุคนี้ไม่มีโอกาสได้รูปารมณ์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้จะเป็นของท่านเหล่านั้น

        เพราะฉะนั้น การเห็นด้วยตาก็ไม่สามารถเป็นการเห็นที่ยอดเยี่ยมอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้น สำหรับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้จะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ไหม เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะว่าเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่สามารถกระทบตา แล้วจิตเห็นก็เกิดขึ้น ในครั้งพุทธกาลแม้พระผู้มีพระภาคจะเสด็จจาริกไปสู่ที่ต่างๆ เสด็จบิณฑบาตผู้ที่เห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้มีมากในครั้งนั้น เพราะแต่ละคนก็มีโอกาสได้เห็น แต่พวกเดียรถีย์แม้เห็น ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา เพราะเหตุว่าไม่พอใจในการเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือบางคนเห็นแล้วพอใจในพระรูปของพระผู้มีพระภาค เพราะไม่มีใครจะงามเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้งามเป็นรอง คือ พระนางพิมพายโสธรา

        เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า สำหรับรูปารมณ์ คือ สิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ก็เพียงชั่วในขณะที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น แต่ไม่สามารถรู้ และเข้าใจในความเป็นเลิศของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

        เพราะฉะนั้น ก็เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น สิ่งนั้นไม่ใช่เป็นเลิศเพราะได้เห็น แต่ต้องเป็นปัญญาที่สามารถรู้ว่า ขณะนั้นเห็นสิ่งที่ประเสริฐเลิศกว่าอย่างอื่น เพราะเหตุว่าเป็นพระรูปกายของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สิ่งอื่น ต้องเข้าใจด้วย แต่พวกเดียรถีย์เห็นแล้วไม่เกิดประโยชน์อย่างไรเลย แม้ว่าเห็นอย่างเดียวกัน เพราะว่าไม่มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในรูปของพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐสุด

        เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของความเข้าใจด้วย ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

        ความหมายของคำว่า “เห็น” มีหลายอย่าง ไม่ใช่มีอย่างเดียวคือ จักขุวิญญาณ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจถูกด้วยว่า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญาโดยสถานเดียว โดยประการเดียว ถ้าไม่เห็นถูก ไม่เข้าใจถูกแล้ว จะชื่อว่า คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะแม้แต่เรื่องของการเห็น บางคนก็อาจจะเห็นสิ่งอื่น และเข้าใจว่าเห็นสิ่งนั้นเป็นมงคล เป็นสิ่งที่เลิศ แต่ไม่ใช่เลย เพราะการเห็นด้วยจักขุวิญญาณเป็นการเห็นรูปที่สามารถกระทบตา แต่รูปนั้นเป็นรูปของใคร ในยุคนั้นก็มีพระรูปกายของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่แม้กระนั้นผู้ที่เห็นรูปนั้นด้วยความติดข้อง อย่างท่านวักกลิ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย หรือพวกเดียรถีย์เห็นด้วยความขุ่นเคือง ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

        เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้เห็นถูก เข้าใจถูกว่า ในขณะนั้นที่ว่าเลิศในการเห็นก็เป็นในขณะที่รู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไรด้วย แต่ในยุคนี้สมัยนี้จักขุวิญญาณไม่มีโอกาสจะได้เห็นรูปารมณ์ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ก็ยังเหลือแต่เพียงความเข้าใจซึ่งทรงแสดงไว้ว่า ผู้ใดแม้จะเดินตามหลังพระองค์ไป แต่ไม่เข้าใจในความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นก็ชื่อว่า ไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะชื่อว่าเห็นได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร แต่ถ้าเข้าใจพระธรรมแล้ว ไม่เพียงแต่พระรูปกายเท่านั้น แต่พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณเป็นสิ่งที่ต้องเห็นด้วยปัญญา

        เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจให้ถูกว่า สำหรับพระรูปกาย ไม่มีโอกาสได้เห็นเลย แต่แม้เห็นไม่เกิดปัญญา ก็ไม่ชื่อว่า เป็นการเห็นที่ประเสริฐ ต้องเป็นผู้มีปัญญาที่เข้าใจถูกต้องว่า ในชีวิตแต่ละชาติมีโอกาสได้เห็นที่เป็นอนุตตริยะหรือเปล่า เพราะเหตุว่าบุคคลนั้นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” พระผู้มีพระภาคตรัสเอง ถ้าเห็นพระองค์ แต่ไม่เห็นธรรมะ ก็ไม่ชื่อว่า เห็นพระองค์ ถ้าเราไม่เห็นอะไรสักอย่าง แล้วเราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรเลย จะชื่อว่า รู้คุณของสิ่งนั้นหรือเปล่า ไม่ว่าเพชรนิลจินดา แต่ไม่รู้ว่า คิดว่าเป็นแก้วธรรมดาๆ แล้วจะชื่อว่า สิ่งนั้นมีค่าหรือเปล่า นั่นคือความรู้เพียงทางโลก แต่ถ้ารู้ถึงความเห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกับการเห็นพระรูปกาย แต่มีความเห็นถูกความเข้าใจถูกหรือเปล่า หรือติดข้อง หรือขุ่นเคือง แต่ถ้าเห็นแล้วรู้ว่า ผู้นั้นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นก็มีศรัทธา ความเลื่อมใส ซึ่งสามารถเข้าใจความเป็นพุทธะ แล้วเข้าไปใกล้ และได้มีการฟังที่ประเสริฐต่อไป


    หมายเลข 10062
    30 ธ.ค. 2566