อยู่ไปวันๆแบบไหน


        วันหนึ่งๆ เหมือนอยู่ไปวันๆ อยู่ไปจริงๆ บังคับไม่ให้อยู่ก็ไม่ได้ ไม่อยากจะอยู่ ไม่อยากจะเห็นก็ไม่ได้ทั้งนั้น ก็ต้องอยู่ไปวันๆ แต่ลืม หรือเปล่าว่า อยู่ไปวันๆ แล้วจะไปไหน อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ได้ไหมคะ ไม่ได้เลย อยู่ไปวันๆ ตามบุญตามกรรม แล้วแต่ว่าถึงเวลาที่จะให้เปลี่ยนจากอยู่ไปวันๆ แบบนี้ หรือจะอยู่ไปวันๆ อีกลักษณะซึ่งก็ต้องเป็นไปตามกรรม

        อยู่ไปวันๆ โดยไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจอะไร กับอยู่ไปวันๆ โดยเริ่มรู้ เริ่มเข้าใจธรรมะ นี่ก็ต่างกันแล้ว เพราะฉะนั้น จะอยู่ไปวันๆ แบบไหน แต่อย่างไรก็ต้องอยู่ ไม่อยู่ไม่ได้ และการรู้สึกว่า อยู่ไปวันๆ ก็มี ๒ อย่าง อยู่ไปวันๆ ด้วยอกุศลกับอยู่ไปวันๆ ด้วยกุศล

        ก็ยังมีอีกคำหนึ่ง “อยู่ไม่สุข” ทั้งๆ ที่อยู่ไปวันๆ แต่ก็อยู่ไม่สุข ใช่ หรือเปล่า หรือเป็นสุขสบายดี อยู่ไปวันๆ แต่อยู่ไม่สุข เพราะอะไร ทำไมถึงไม่สุข มีคำตอบแล้วใช่ไหมคะ อยู่ไปวันๆ แต่อยู่ไม่สุข เพราะมีกิเลส กิเลสอยู่สุขไม่ได้เลย แล้วแต่จะไปไหน เพราะอะไร ดิ้นรนเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัวเลย คือ อยู่ไม่สุข

        ขณะที่ได้ยิน เสียงน่าพอใจไหม เพราะฉะนั้น ที่เราฟังไปแล้ว ไม่ใช่ไม่มีในชีวิตประจำวัน มี แต่เรื่องฟังก็ส่วนหนึ่ง พอเกิดขึ้นจริงๆ ก็ไม่รู้เสียแล้ว

        นี่แสดงให้เห็นว่าการฟังยังไม่มั่นคงพอที่เริ่มเข้าใจตรงขณะที่ได้ยินจริงๆ ว่า ขณะนั้นบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีใครอยากได้ยิน ก็เกิดแล้ว แต่ขณะที่เกิดแล้ว ได้ยินแล้ว ไม่ชอบเสียงนั้น เพราะฉะนั้น จากผลของบุญ และบาปก็เป็นบุญ และบาปที่เกิดสืบต่อ

        เพราะฉะนั้น เราก็สามารถจะรู้ได้ว่า ขณะเมื่อกี้นี้ผลของอะไรคะ ต้องเป็นผลแน่ที่ได้ยิน กุศลกรรม หรืออกุศลกรรม อกุศลกรรมใช่ไหมคะ เสียงไม่น่าพอใจเลย ดับแล้ว กุศลจิตเกิด หรืออกุศลจิตเกิด อกุศลจิตเกิดก็ไม่พ้นเลย เดี๋ยวก็อกุศลวิบากเกิดเพราะอกุศลกรรม และต่อจากอกุศลวิบาก ทันทีนั้นก็เป็นอกุศลต่อส่วนใหญ่ จนกว่าสติเกิดเมื่อไร สติเป็นเครื่องกั้นกระแสของอกุศล เมื่อกี้เรารับประทานอาหารหลายอย่างเลย ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง กระแสของอกุศล แต่ถ้าขณะนั้นกำลังเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏเพียงชั่วคราว แล้วมีลักษณะซึ่งเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวกระทบแข็ง เดี๋ยวกระทบลิ้น เดี๋ยวกระทบตา มีแต่สิ่งที่ปรากฏซึ่งอยู่ไปวันๆ ด้วยความรู้ หรือด้วยความไม่รู้

        เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ไม่ใช่คำเล่นๆ แต่เป็นคำที่มีความหมายเมื่อเข้าใจ มีเงินมีทองมหาศาล อยู่ไปวันๆ หรือว่าอยู่ไม่สุข ขณะใดที่ไม่สุขเพราะมีเงินมีทองมากๆ เท่านั้น หรือว่าเพราะกิเลส

        นี่แสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ถ้าเข้าใจแล้ว ทุกคำก็ตรงกับความจริง ทุกขณะเลย ถ้าไม่มีเสียงเมื่อกี้นี้ เราจะรู้ไหมว่า อกุศลวิบากเกิดแล้ว เพราะได้ยินเป็นผลของกรรม เห็นเป็นผลของกรรม ได้กลิ่นเป็นผลของกรรม ลิ้มรสเป็นผลของกรรม กระทบสัมผัสเป็นผลของกรรม ทันทีต่อจากนั้นเป็นกุศล หรืออกุศล และเป็นผู้ที่ตรง ส่วนใหญ่เป็นอะไร

        เพราะฉะนั้น อยู่ไปวันๆ ด้วยกุศลบ้าง อกุศลบ้าง วิบาก คือ ผลของกรรม กุศลวิบากบ้าง อกุศลวิบากบ้าง แล้วจะเป็นใครได้ เป็นใครไม่ได้เลย นอกจากเป็นธรรมะ


    หมายเลข 10064
    24 ธ.ค. 2566