ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๐ ญาจาง]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  16 มิ.ย. 2558
หมายเลข  26644
อ่าน  2,052

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

.........

สนทนาธรรมที่ Nha Trang [วันที่ ๒]

(๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘)

ในวันที่ ๓ ของการเดินทางมาสนทนาธรรมที่ ญาจาง ขณะที่จะเริ่มเล่าเรื่อง ข้าพเจ้าเองเริ่มงงๆ เหมือนกัน ว่าเวลาตั้งหัวข้อกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ตอนที่ระบุวันที่นั้นไม่งง แต่เริ่มงงว่า เป็นการเดินทางมาเวียดนาม เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว? และ เป็นการเดินทางมาที่ ญาจาง วันที่เท่าไหร่? และเมื่อจะกล่าวถึงวันที่มีการสนทนาธรรม วันที่กล่าวถึงนั้น เป็นวันที่เท่าไหร่? ซึ่งทำให้สับสนทุกครั้งที่เริ่มเล่าเรื่อง ต้องอาศัยการดูภาพ และ เช็คข้อความในเมล์ ที่พี่แดงได้กรุณาละเอียด ด้วยการลงวันที่และเวลาไว้ให้แล้ว กราบขอบพระคุณในความละเอียดของพี่แดงเป็นอย่างสูงเลยครับ

เมื่อพูดถึงความละเอียด ก็ทำให้นึกถึงท่านผู้มีพระคุณอีกท่านหนึ่ง คือ คุณจริยา เจียมวิจิตรตั้งแต่กระทู้แรกที่เวียดนาม ที่ข้าพเจ้าได้ส่งไปแบ่งปันให้ทุกๆ ท่านได้อ่าน ได้รับความเมตตาจากคุณจริยา ที่เมื่อท่านอ่านแล้วพบคำผิด ก็เมตตาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ เพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง ซึ่งโดยปรกติ ข้าพเจ้าจะพิมพ์ไป ตรวจทานไปด้วย เมื่อทำเสร็จ ก็อ่านและตรวจทานอีก แต่กระนั้น ความที่ไม่ละเอียด ก็ยังมีทั้งคำที่เขียนผิด สะกดผิด พิมพ์ผิด ทำให้คุณจริยาได้ตรวจพบบ่อยๆ แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ละเอียดของท่าน

ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ทั้งเป็นเกียรติแก่มูลนิธิฯและเวปไซต์บ้านธัมมะแห่งนี้ด้วย ที่คุณจริยา เจียมวิจิตร อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ปัจจุบันท่านเป็นกรรมการกฤษฎีกา ได้กรุณาแจ้งให้ทราบ แสดงถึงความที่ท่านอ่านความโดยละเอียด ไม่เผิน บ่อยครั้ง ที่ข้าพเจ้ารู้สึกปีติในใจ ที่ได้ทราบถึงความหลากหลายของผู้ที่ได้พบพระธรรม ได้รู้สึกอนุโมทนาโดยบ่อย ถึงความมีค่ายิ่งของพระธรรม เหนือลาภ ยศ ชื่อเสียงใดๆ ได้อนุโมทนาในใจ ถึงบุญที่ท่านเหล่านั้นได้สะสมไว้แต่ปางก่อน ให้ได้พบกับพระธรรมที่ถูกต้อง อันเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าการได้เติมเต็มชีวิตที่หลายบุคคลแสวงหาตลอดชีวิต แต่ก็หาได้พบไม่

หลายครั้งที่ท่านอาจารย์กล่าวแก่ผู้ใกล้ชิดในวาระต่างๆ ว่า ท่านจะรู้สึกดีใจมาก ที่ได้ทราบว่ามีผู้ที่ได้เข้าใจธรรมะแม้เพียงคนเดียว ในทุกที่ๆ ท่านไป ความเข้าใจธรรมะ ไม่มีเพศชาย เพศหญิง ไม่มีเด็ก ไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีใครทั้งสิ้น นอกจากความเข้าใจความจริง ที่ปรากฏเกิดขึ้น แล้วดับไป แต่สะสมในจิตขณะต่อๆ ไป ผู้ที่เข้าใจความจริงนี้ ย่อมเป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ตามกำลังของความเข้าใจ และเป็นผู้ที่น้อมไปสู่ความดีประการต่างๆ ด้วยความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีผู้ทำดี ไม่มีใครทำดี มีแต่กุศล อกุศลประการต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย ด้วยความเป็นอนัตตา

น้อมไปสู่ความมั่นคงขึ้น ว่าทุกสิ่งที่ปรากฏ แต่ละหนึ่งๆ ในขณะนี้ เป็นแต่ธรรม ไม่ใช่เรา ความยึดถือว่ามีตน ความมานะ สำคัญตน ว่าเป็นตน ที่เหนียวแน่น ย่อมค่อยๆ ละคลายได้ ทีละเล็ก ทีละน้อย ด้วยความเข้าใจว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา นี้เอง ดังที่ท่านอาจารย์ปรารภให้ฟังบ่อยๆ ว่า "ไม่มีเรา สบายไหม?" ไม่ต้องมีความกังวลใดๆ มั่นคงขึ้น ว่าทุกสิ่งในขณะนี้ เกิดแล้ว ดับแล้ว ทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลยนั้น จะเป็นใครได้ ในเมื่อหมดแล้ว ไม่มีแล้ว แต่ความรวดเร็วของการเกิดดับที่สุดประมาณได้โดยต่อเนื่องนั้น ทำให้เห็นผิดว่ายังมีอยู่ ด้วยความไม่รู้ ด้วยความเห็นผิด ที่ยึดถือความเห็นนั้นมาเหนียวแน่น ยาวนาน ในสังสารวัฏ บุคคลจึงต้องอาศัย "คำ" ของผู้รู้ คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจความจริงนั้น

การได้พบกับกับสหายธรรมชาวเวียดนาม ตลอดสิบวันที่ผ่านมา ได้เห็นภาพของชีวิตที่เป็นปกติของผู้คน เห็นภาพของความสนใจ ใส่ใจ ในความจริงของชีวิต เห็นใบหน้าและแววตา ที่เต็มไปด้วยความตั้งอกตั้งใจ เห็นความปีติในแววตา และกิริยาอาการที่แสดงถึงความเข้าใจใน "คำ" ที่ท่านอาจารย์ และ วิทยากร คือ คุณโจโนธาน และ คุณซาร่าห์ ได้กล่าวออกมาเพื่อเกื้อกูลท่านเหล่านั้น เห็นความสงบ เงียบ ความนั่งนิ่ง ไม่ลุกลี้ลุกลน และที่น่าประทับใจคือ ไม่มีใครนั่งหลับทุกคนตั้งใจฟังมาก เป็นภาพที่ไม่ว่าใครได้เห็น ย่อมรู้สึกชื่นชมอนุโมทนา

และให้ได้คิดชื่นชมอนุโมทนา ถึงความที่บุคคล ได้ซึ่งทรัพย์อันประเสริฐที่สุดในโลก เป็นทรัพย์ที่ผู้มีปัญญาเท่านั้น ที่รู้ ในพระสูตรที่ข้าพเจ้าได้ฟังทาง "ฟังธรรมออนไลน์" มีหญิงเศรษฐีท่านหนึ่ง นั่งฟังพระธรรมแล้วมีหญิงรับใช้มาบอกว่ามีโจรปล้นบ้าน ท่านกล่าวแก่หญิงรับใช้ที่เพียรมาบอกหลายครั้งหลายหนว่า มีโจรกำลังขนสิ่งนั้นแล้ว สิ่งนี้แล้ว แต่หญิงเศรษฐีนั้น กล่าวคำเดิมๆ ทุกครั้งว่า โจรอยากได้สิ่งใดก็ให้ขนเอาไปเถิด และบอกคนรับใช้ว่าอย่ามารบกวนอีก คำในพระสูตรที่ท่านอาจารย์กล่าวมีความไพเราะมาก ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ลืมเสียสิ้น หวังว่าท่านคงได้ฟังแล้ว และหรืออาจได้ฟังอีกเมื่อมีปัจจัยนะครับ

ความในพระสูตร ที่กล่าวถึงบุคคลที่มีความตั้งใจ และเห็นคุณของการฟังพระธรรม ที่มีค่ากว่าทรัพย์และแม้ชีวิต นี้ มีมากมายหลายพระสูตร ซึ่งแสดงถึงชีวิตจริงๆ ของผู้คนสมัยนั้น เมื่อได้เห็นภาพของความตั้งใจฟังด้วยดี ก็ทำให้ระลึกถึงว่า ไม่ว่าในยุคใดสมัยใด ย่อมมีทั้งผู้ที่สนใจใส่ใจ และผู้ที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ เป็นธรรมดา สิ่งที่ควร สิ่งที่เป็นสาระ เป็นประโยชน์ ย่อมมีแก่ผู้ที่เห็นสาระ เห็นประโยชน์เท่านั้น

[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕- หน้าที่ ๒๓๔

๔. วัฑฒิสูตร

ว่าด้วยความเจริญ ๑๐ ประการ

[๗๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเมื่อเจริญด้วยความเจริญ ๑๐ ประการ ย่อมเจริญด้วยความเจริญอันประเสริฐ และเป็นผู้ถือเอา สิ่งที่เป็นสาระ สิ่งที่ประเสริฐแห่งกาย ความเจริญ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ อริยสาวก...ย่อมเจริญด้วยนาและสวน ๑ ย่อมเจริญด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก ๑ ย่อมเจริญด้วยบุตรและภรรยา ๑ ย่อมเจริญด้วยทาส กรรมกรและคนใช้ ย่อมเจริญด้วยสัตว์ ๔ เท้า ๑ ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ๑ ย่อมเจริญด้วยศีล ๑ ย่อมเจริญด้วยสุตะ ๑ ย่อมเจริญด้วยจาคะ ๑ ย่อมเจริญด้วยปัญญา ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก ก็เมื่อเจริญด้วยความเจริญ๑๐ ประการนี้ ย่อมเจริญด้วยความเจริญอันประเสริฐ และเป็นผู้ถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ สิ่งที่ประเสริฐแห่งกาย. บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยทรัพย์ ข้าวเปลือก บุตร ภรรยา และสัตว์ ๔ เท้า บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้มีโชค มียศ เป็นผู้อันญาติมิตร แลพระราชา บูชาแล้ว บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะและปัญญา บุคคลเช่นนั้น เป็นสัปบุรุษ ปัญญาเครื่องพิจารณา ย่อมเจริญด้วยความเจริญทั้งสองประการในปัจจุบัน.

จบวัฑฒิสูตรที่ ๔

หลังการออกไปเดินเล่นด้วยเท้าเปล่าบนหาดทรายแสนสวยยามเช้าของญาจาง เมืองชายทะเลที่มีชื่อเสียงของประเทศเวียดนาม ก็กลับมารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เริ่มคุ้นเคยกับชีวิตประจำวัน ที่ตื่นเช้าไปเดินชายหาด กลับมารับประทานอาหารเช้า และเตรียมตัวเข้าฟังการสนทนาธรรม เริ่มคุ้นกับเสียงการสนทนาธรรมภาษาอังกฤษ และภาษาเวียดนาม รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นทุกวันๆ รวมถึงเริ่มคุ้นเคยรสชาติของอาหารด้วย

อันดับต่อไปขอนำภาพและความการสนทนาธรรมตลอดทั้งเช้าและบ่าย ที่พี่แดง (พล.อ.ต.หญิง กาญจนา เชื้อทอง) ได้ถอดความไว้ให้ มาให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณาดังนี้

ถาม อาจารย์บอกว่า สภาพธรรม ไม่ใช่ตัวตน แต่ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ท่านอาจารย์ ไม่มีใครทำ เพราะไม่มีเรา เมื่อเข้าใจถูก เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องมีเหตุผลว่าไม่มีเรา ถ้าไม่มีเรา แล้วเดี๋ยวนี้มีอะไร? ธรรมะ เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาจนเข้าใจคำนั้น ไม่อย่างนั้นพูดมากคำ แต่ไม่เข้าใจเลย เช่น บอกว่าไม่มีใคร มีใครไหมตอนนี้? พระพุทธเจ้าทรงสอนมากมาย เป็นผู้แสดงความนอบน้อมอย่างสูงสุด เมื่อเข้าใจคำสอน

ถ้าไม่มีใคร ตอนนี้มีอะไร? ต้องคิดเอง จึงจะเข้าใจ

ผู้ถาม มีเห็น ได้ยิน คิด

ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจทีละคำ อย่างละเอียด ก็จะทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้นได้ ถ้ายังคงเป็น เรารู้ เราเห็น ยังคงมีเรา ต้องเข้าใจคำว่า ธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง ก่อนเข้าใจธรรมะ ทุกคนเห็นด้วยความคิดว่า "เราเห็น" แต่เมื่อฟังพระธรรมรู้ว่า "เห็น" เป็นธรรม ไม่ใช่ใคร

เมื่อวานนี้หายไปไหน? เราจำได้ แต่เมื่อวานนี้ก็เหมือนวันนี้ มีเห็นเมื่อวานนี้ และวันนี้ ต่างกันไหม? เห็นเมื่อวาน ไม่เหมือนเห็นวันนี้

สิ่งที่ยึดถือว่า เป็นชีวิต ถ้าไม่มี "เห็น" จะมีชีวิตไหม? ชีวิต คือ "แต่ละขณะ" ที่รู้อารมณ์ เป็นชีวิตของเรา หรือเป็นธาตุรู้สิ่งที่ปรากฏ? ไม่ใช่ใคร เพราะมี เหตุปัจจัยจึงเกิด ไม่มีใครทำได้ ต้องมีศรัทธามั่นคงว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ธรรมะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เพราะไม่เข้าใจว่า บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะรู้ไหม? ใครรู้บ้างว่า "เห็น" ได้ยินไม่ได้ คิดไม่ได้ (เห็นเป็นเห็น) สภาพธรรมทั้งหลาย ทั้งหมด รู้ได้ด้วยการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าถ้าไม่เข้าใจคำสอน คำสอนนั้นก็ไม่ใช่สำหรับคนนั้น ถ้าเข้าใจผิด ก็ทำลายคำสอน ทำให้อันตรธานไป ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น จึงไม่ควรเปลี่ยนคำสอนของ พระพุทธเจ้า สภาพธรรม คือ สภาพธรรม ทรงสอน ๔๕ ปี เข้าใจกี่คำ? ชัดเจนว่า ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา นี่คือชีวิต สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อ แม้แต่ ขณะนี้!!!

ซาร่าห์ พูดถึงกิเลส และทำอย่างไร? ติดข้องในดอกไม้ เมื่อตื่นขึ้นมาก็ติดข้องแล้วทันที ละคลายเมื่อรู้ว่า ไม่ใช่เรา เกิดเพราะ เหตุปัจจัย ไม่ใช่ร้องขอให้ติดข้องน้อยลง แต่เมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็ละคลายทันที ที่ติดข้องเพราะสะสมมา พระอรหันต์จึงจะละความติดข้องได้ ไม่ใช่พยามไม่ติดข้อง เพราะทำไม่ได้ด้วยความเป็นตัวตน ติดข้องแล้ว เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ก็สามารถละคลายได้

หลายคนไม่อยากโกรธ เมื่อยังติดข้องจึงยังโกรธ ไม่มีใครสามารถหยุดโกรธได้ ถ้ายังไม่เข้าใจว่า เป็นธรรมะที่เกิดเพราะ เหตุปัจจัย ไม่ใช่ใคร ทั้งหมด มีอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น อวิชชา จะดับได้ด้วย ปัญญาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น อาจารย์เน้นเรื่อง เห็น และ สิ่งที่ถูกเห็นถ้ายังไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้ ก็ไม่สามารถละคลายอะไรได้

ถาม มาเพื่อหาแผนที่เดินทาง ส่วนใหญ่นั่งสมาธิ ไม่ใช่วิปัสสนา ขอแบ่งปันความรู้จากการศึกษาธรรม พระพุทธเจ้าทรงสอนขันธ์ ๕ ทรงสอนให้สงบ ช่วยอธิบาย

จอน คงสงสัยว่า ทำไมถึงพูดเรื่องเห็น ... มาก ไม่พูดเรื่องผัสสะ ... พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นทุกข์และไม่เที่ยง ปัญญาขั้นแรก คือ รู้ว่า ธรรมะคืออะไร? ธรรมะ มี ลักษณะเฉพาะ แต่ละหนึ่ง ซึ่งสามารถรู้ได้ สภาพธรรมทั้งหมด มี จิต เจตสิก รูป และนิพพาน จิต คือ สภาพรู้ เจตสิกเกิดร่วมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต รูปไม่รู้อะไรเลย

มีโลภะตลอดเวลา เราไม่รู้จนกว่าจะมีกำลังมาก ในการอบรมเจริญปัญญา ต้องรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้!!! พระพุทธเจ้า ทรงเริ่มอธิบายธรรมะด้วย เห็น ได้ยิน หรือธาตุ อายตนะความติดข้อง ละคลายได้ด้วยความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ลักษณะทั้งหมดของธรรมะ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ ๕ ปรากฏตลอดเวลา รูป เวทนา ... วิญญาณ

ซาร่าห์ เมื่อถามวิธี แสดงว่ามี "ตัวตน" ที่จะทำ เมื่อคิดว่าเลือกได้ แสดงว่ายังไม่เข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม

ผู้ถาม ทำไมท่านพระพาหิยะบรรลุพระอรหันต์เร็ว

ซาร่าห์ เพราะเข้าใจว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น เป็นธรรมะที่เกิดเพราะ เหตุปัจจัย ไม่ใช่ใคร ท่านได้สะสม ปัญญามามากพอ ทั้งได้ฌาน และเมื่อได้ฟังสั้นๆ ก็บรรลุได้ ในอรรถกถา อดีตประวัติของท่านได้สะสม ปัญญาจากการฟัง พระพุทธเจ้าหลายพระองค์แล้ว เช่นเดียวกับพระอรหันต์ท่านอื่น ที่ได้สะสมปัญญามาเป็นกัปๆ ไม่ใช่โดยบังเอิญ ที่ฟังสั้นๆ แล้วจะบรรลุได้ เพราะเข้าใจมากพอ พร้อมสะสมบารมีเต็มเปี่ยมพร้อมบรรลุ พระอรหันต์ได้

จอน ธรรมที่ท่านพาหิยะได้ฟัง คือ เห็น ไม่ใช่เรื่องกิเลส ไม่ใช่รายละเอียดของอภิธรรม แต่เป็น สภาพธรรมที่ กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้

ซาร่าห์ พระธรรมที่ทรงแสดง เป็นชีวิตประจำวันที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ เราไม่ใช่พระพาหิยะ จึงต้องฟังมาก พิจารณามาก เพียงสักแต่ว่าเห็น ไม่พอสำหรับเรา ต้องฟังในแง่อื่นๆ ด้วย ทั้งขันธ์ ธาตุ อายตนะ ที่ต้องทรงแสดงละเอียดสำหรับเรา ไม่ใช่สำหรับท่านพาหิยะ ในอรรถกถา ยังแสดงละเอียดต่อไปอีก เพราะ ธรรมะคิดเองไม่ได้ จึงต้องศึกษาแต่ละคำให้เข้าใจ เช่น เห็น

ถาม ในชีวิตประจำวัน ชีวิตเปลี่ยนแปลง สำหรับผมคิดว่าละคลายวัตถุง่าย แต่ละคลายนาม ยาก ทำอย่างไรจะละนามได้

ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรอีกแล้ว!!! ไม่มีใครทำได้ นอกจาก ปัญญาทำกิจเข้าใจแล้วละคลาย

คิดว่าละคลายรูปง่ายหรือ?

ผู้ถาม วัตถุ คือ บ้านใหญ่ บ้านเล็ก จักรยานยนต์ รถยนต์ ไม่ติดข้องง่ายกว่า เป็นรูป

ท่านอาจารย์ ขณะ "เห็น" เป็นมอเตอร์ไซต์หรือเปล่า?

ผู้ถาม เป็น แน่ใจ

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คำสอนของ พระพุทธเจ้า ง่ายที่จะละคลาย "สิ่งที่ถูกเห็น" หรือไม่?

สิ่งที่ถูกเห็น คือ รูปที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ ง่ายหรือยาก? เริ่มเข้าใจคำสอนของ พระพุทธเจ้า ซึ่งต่างกับที่เคยคิด เมื่อเป็นธรรมะ ต้องมี ลักษณะของตนเอง สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่สามารถจับต้องได้ เพียงปรากฏให้เห็นเท่านั้น ติดข้องในมอเตอร์ไซค์หรือตัวตนมากกว่ากัน? เพราะติดในตัวตน จึงมีมอเตอร์ไซค์ ถ้าไม่เห็น จะมีมอเตอร์ไซค์ ไหม? คิดว่า มอเตอร์ไซค์ คือ อะไร?

จึงมี "เห็น" เหมือนในขณะนี้ "เห็น" เกิดแล้วดับทันที สั้นมาก เหลือเพียงนิมิตปรากฏให้เห็น เห็นคนไหม? หรือ "เห็น" สิ่งที่ปรากฏให้เห็น? ความติดข้องเกิด เพราะไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่เพียงปรากฏ เมื่อเริ่มเข้าใจ มีแต่ยากขึ้น ลึกซึ้งมากขึ้น สภาพธรรมละเอียดลึกซึ้ง เช่น อวิชชา เดี๋ยวนี้ ใครรู้บ้าง? แม้ "เห็น" เดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้!!! ใครละคลายความติดข้องได้? ปัญญา ความเข้าใจถูก ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทีละเล็ก ทีละน้อย ทำกิจละคลายความไม่รู้ เมื่อคิดว่า "ทำอย่างไร?" นั่นผิด!!!

พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ทำอะไร แต่ทรงแสดงความจริง ๔๕ พรรษา ทำไมไม่ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเข้าใจมั่นคง ในความเป็นอนัตตา!!! ถ้าไม่ฟังในชาตินี้ ก็เป็นปัจจัยให้ไม่ฟังต่อไปในชาติหน้า แล้วจะติดข้องต่อไป!!! คิดว่าคนอื่นเก่งกว่า พระพุทธเจ้า ไม่รู้จัก พระพุทธเจ้า แล้วจะมี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งได้ อย่างไร?

ถ้าเห็นเป็นคน ยังมีอวิชชาและติดข้องในสิ่งที่เห็น เมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะรู้ว่าต้องใช้เวลานานมาก ที่จะเข้าใจธรรมะทั้งหมด ทรงสอน ให้เข้าใจเห็นที่ กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ อวิชชาไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดดับได้ ถ้าคิดว่าเราทำได้ ไม่ใช่ปัญญา เป็นอวิชชาที่ทำกิจปิดบังความจริง

อยากเข้าใจอะไร เพียงคำเดียว

ผู้ถาม อวิชชา และโมหะ

ท่านอาจารย์ เหมือนกัน เหมือนคำว่าโลภะ ราคะ ตัณหา อาสา เป็นสภาพธรรมเดียวกัน

ผู้ถาม ความสงบที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นอย่างไร? ในเวียดนาม คือ อุเบกขา

จอน คือ เอกกัคคตาเจตสิก ขณะที่สงบ ไม่มีอุทธัจจะ ขณะที่เป็นกุศล สงบ ในสมถะ สงบ คือ ปัสสัทธิเจตสิก ในพรหมวิหาร อุเบกขา คือ สงบ เป็นกุศล เวทนาแบ่งเป็น ๓ หรือ ๕

พระ จิตเห็น จิตได้ยิน เกิดพร้อมอุเบกขาเวทนา ทำไมกายวิญญาณ จึงไม่เกิดพร้อมอุเบกขาเวทนา

ซาร่าห์ แม้เกิดพร้อมอุเบกขาเวทนา แต่ก็ยังติดข้องในเห็น ได้ยิน ความติดข้องมากมายจริงๆ

[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๘๙มักกฏสูตร ว่าด้วยอารมณ์อันมิใช่โคจร

[๗๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถิ่นแห่งขุนเขาชื่อหิมพานต์ อันไปได้ยาก ขรุขระ ไม่เป็นที่เที่ยวไป ทั้งของฝูงลิง ทั้งของหมู่มนุษย์มีอยู่ ถิ่นแห่งขุนเขาชื่อหิมพานต์ อันไปได้ยาก ขรุขระ เป็นที่เที่ยวของฝูงลิงเท่านั้น ไม่ใช่ของหมู่มนุษย์มีอยู่ ภูมิภาคแห่งขุนเขาชื่อหิมพานต์ ราบเรียบ น่ารื่นรมย์ เป็นที่เที่ยวไป ทั้งของฝูงลิงทั้งของหมู่มนุษย์ มีอยู่

ณ ที่นั้น พวกพราน วางตังไว้ในทางเดินของฝูงลิง เพื่อดักลิง ในลิงเหล่านั้น ลิงเหล่าใดไม่โง่ ไม่ลอกแลก ลิงเหล่านั้น เห็นตังนั้น ย่อมหลีกออกห่าง ส่วนลิงใดโง่ ลอกแลก ลิงตัวนั้นเข้าไปใกล้ตังนั้น เอามือจับ มือก็ติดตัง มันจึงเอามือข้างที่สองจับ ด้วยคิดว่า จักปลดมือออก มือข้างที่สองก็ติดตังอีก มันจึงเอาเท้าจับ ด้วยคิดว่า จักปลดมือทั้งสองออกเท้า ก็ติดตังอีก มันจึงเอาเท้าข้างที่สองจับ ด้วยคิดว่า จักปลดมือทั้งสองและเท้าออก เท้าที่สองก็ติดตังอีก มันจึงเอาปากกัด ด้วยคิดว่า จักปลดมือทั้งสองและเท้าทั้งสองออก ปากก็ติดตังอีก

ลิงตัวนั้นถูกตรึง ๕ ประการอย่างนี้แล นอนถอนใจ ถึงความพินาศ ยุบยับแล้ว อันพรานจะพึงกระทำได้ตามความปรารถนา พรานแทงลิงตัวนั้นแล้ว จึงยกขึ้นไว้ในที่นั้นเอง ไม่ละทิ้ง หลีกไปตามความปรารถนา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องลิงเที่ยวไปในถิ่นอื่น อันมิใช่ที่ควรเที่ยวไป ย่อมเป็นเช่นนี้แหละ

[๗๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลาย อย่าเที่ยวไปในอารมณ์อื่น อันมิใช่โคจร เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในอารมณ์อื่นอันมิใช่โคจร มารจักได้ช่อง มารจักได้อารมณ์. ก็อารมณ์อื่น อันมิใช่โคจรของภิกษุ คือ อะไร? คือ กามคุณ ๕. กามคุณ ๕ เป็นไฉน? คือ รูปที่พึงรู้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด เสียงที่พึงรู้ด้วยโสตะ. . .กลิ่นที่พึงรู้ด้วยฆานะ. . .รสที่พึงรู้ด้วยชิวหา. . .โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้ คือ อารมณ์อื่น อันมิใช่โคจรของภิกษุ.

[๗๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในอารมณ์ซึ่งเป็นของบิดาตน อันเป็นโคจร เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในอารมณ์ซึ่งเป็นของบิดาตน อันเป็นโคจร มารจักไม่ได้ช่อง มารจักไม่ได้อารมณ์ ก็อารมณ์อันเป็นของบิดาตน อันเป็นโคจรของภิกษุ คือ อะไร? คือ สติปัฏฐาน ๔. สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้ คือ อารมณ์ซึ่งเป็นของบิดาตน อันเป็นโคจรของภิกษุ.

จบมักกฏสูตรที่ ๗.

.........

ขอเชิญคลิกชม คลิปวีดีโอการสนทนาธรรมบางตอนของวันนี้ จำนวน ๑๒ คลิป ได้ที่นี่..

...ณ กาลครั้งหนึ่ง...ที่ เมืองญาจาง ประเทศเวียดนาม ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรม บ้านธัมมะเวียดนาม ทุกท่าน ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) สำหรับข้อความการสนทนาธรรม ที่ถอดความสดขณะฟัง มาให้ประกอบเรื่อง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ท่านสามารถคลิกอ่านกระทู้ทั้งหมดในครั้งนี้ ตามลิงก์แต่ละหัวข้อด้านล่าง :

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๒]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๓]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๔]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๕ ดาลัด]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๖ ดาลัด]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๗ ดาลัด]

- ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘

- อันเนื่องมาจากการเดินทางไปเยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

- ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปร่วมในพิธีศพสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๘ ดาลัด-ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๙ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๐ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๑ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๒ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๓ ญาจาง พักผ่อนและสนทนาธรรมก่อนกลับ]


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรม บ้านธัมมะเวียดนาม ทุกท่าน ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) สำหรับข้อความการสนทนาธรรม ที่ถอดความสดขณะฟัง มาให้ประกอบเรื่อง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม ช่างกล้องกิตติมศักดิ์ นำภาพ และนำพระสูตรประกอบบทความ ไพเราะอย่างยิ่ง...

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paew_int
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณวิทยากรและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน

อนุโมทนาขอบพระคุณพลอ.ต.หญิงกาญจนา เชื้อทอง และคุณวันชัย ภู่งามที่ดำเนินการถ่ายทอดภาพและข้อมูล ตลอดจนนำพระสูตรต่างๆ มาประกอบ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
dawhan
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปวีร์
วันที่ 17 มิ.ย. 2558

อนุโมทนาในกุศลทุกประการของผู้จัดทำครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 17 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 19 มิ.ย. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
peem
วันที่ 21 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ