ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๙ ญาจาง]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  8 มิ.ย. 2558
หมายเลข  26611
อ่าน  1,951

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

.........

สนทนาธรรม ที่ The Light Hotel & Resort ญาจาง วันแรก

(๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘)

วันแรกของการมาสนทนาธรรม ที่ เมืองญาจาง [Nha Trang] ตามกำหนดการที่ได้ทราบ คือ ตลอดช่วงเช้า ทางผู้จัดจะพาไปนั่งเรือ เพื่อข้ามไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบนเกาะ กลับมารับประทานอาหารกลางวันซึ่งมีสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม ที่ ญาจาง และท่านเจ้าของโรงแรม The Light เป็นเจ้าภาพ ที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม จากนั้นพักผ่อน ก่อนที่จะมีการสนทนาธรรมในตอนบ่ายสามโมง ถึง บ่ายห้าโมงเย็น

ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้าตรู่ ประมาณตีห้าครึ่งที่เวียดนาม ท้องฟ้าเริ่มสว่าง พระอาทิตย์กำลังเริ่มขึ้นที่เส้นขอบฟ้าของมหาสมุทรแปซิฟิก แต่กว่าที่จะทำภารกิจเสร็จ เดินออกมานอกห้องพัก ก็เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้า ขาดความโรแมนติคไปเสียแล้ว แม้กระนั้น ในช่วงที่มีเมฆบดบัง แสงที่ส่องลงทาบพื้นท้องทะเล ก็ดูอ่อนโยน งดงาม เห็นริ้วระยับของผิวน้ำ และผู้คนที่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาชมบรรยากาศของชายหาดและท้องทะเล

ได้พบคุณนพดล (พลเรือโทนพดล สุธัมสภา) พี่แดงและพี่สงบ คุณซาร่าห์ คุณโจโนธาน คุณท้าย คุณหลาน คุณเซิน และอีกหลายท่าน ที่เดินเล่น ว่ายน้ำและออกกำลัง บริเวณชายหาดแสนสวยที่โค้งเข้าหากัน มองเห็นเกาะขนาดใหญ่เป็นแนวกำบังลมพายุไกลๆ เริ่มสายอากาศก็เริ่มอุ่นขึ้น เลยคิดว่า พรุ่งนี้จะตื่นให้เช้ากว่านี้ เพื่อมาเดินเท้าเปล่าริมหาด นานที หลายปีจะมีสักหน สำหรับข้าพเจ้าในระยะหลังที่ความหนุ่มเหลือน้อยลงมานี้ ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่เมื่อไปทะเลคราวใด ที่จะไม่ได้คลุกทราย ว่ายน้ำทะเลเป็นไม่มี เดี๋ยวนี้ ความระเริงแบบนั้น กลายเป็นความเฉยๆ แค่ได้เดินย่ำทรายเท้าเปล่าคงเพียงพอแล้ว

เมื่อเดินกลับโรงแรม ก็พบว่ารถราเริ่มมากขึ้น เพราะเป็นเวลาเข้าเรียนและทำงาน การข้ามถนนที่เวียดนามที่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนหน้า ว่ามีความระทึกใจดีนั้น เริ่มได้เห็น จึงยังไม่รีบร้อนที่จะข้ามถนนโดยทันที เดินไปหาที่นั่งม้ายาวที่อยู่บนทางเท้า นั่งชื่นชมท้องถนนที่เริ่มคลาคล่ำด้วยยวดยานนานาชนิด ในใจก็ดูวิธีการที่คนอื่นข้ามถนน

พักหนึ่งก็ตัดสินใจได้ มีความกล้าหาญที่จะเสี่ยงชีวิตเป็นครั้งแรกของการมาเวียดนาม ก็พบว่า การเดินข้ามถนนที่เวียดนาม เป็นการทดสอบความกลัวตายในใจได้เป็นอย่างดี ในวันหลังๆ เมื่อมีความคุ้นเคยมากขึ้น ความกลัวตายก็ลดลงบ้าง เพราะเริ่มชินขึ้น ชีวิตก็เป็นแบบนี้ อะไรๆ ที่คิดว่าแปลก ว่าใหม่ พอผ่านไปสักพัก ไม่นานก็เริ่มชิน เห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ที่เคยกลัวตายก็อาจไม่คิดแล้ว ธรรมดาแล้ว ไม่รู้สึกแล้ว ดังคำเปรียบเปรยในหนังจีนที่ได้ยินบ่อยๆ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา เดี๋ยวนี้ เมื่อเห็นโลงศพที่ขายในร้านข้างทาง ก็ไม่ชอบมองเท่าไหร่ คงเพราะกลัวหลั่งน้ำตาหรือไร ก็ยังไม่ได้พิจารณาความคิดนั้นถี่ถ้วนนัก คิดว่าคงไม่ชอบดูของไม่สวย ไม่งามมากกว่ากระมัง ได้แต่คิดที่จะบอกลูกว่า ถ้าพ่อตาย ไม่ต้องใส่โลงศพที่แพงๆ เสียดายเปล่าๆ เดี๋ยวสัปเหร่อก็นำใส่เตาเผาแล้ว จะวุ่นวายทำไม

พูดถึงเรื่องตาย ก็นึกได้ว่า เราจะไม่ให้ใครได้วุ่นวายเดือดร้อนเรื่องงานศพดีกว่า อันที่จริงก็คิดไว้นานแล้ว ที่จะไปบริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล แต่เท้าก็ไม่ก้าวไปเสียที ทั้งๆ ที่ไปโรงพยาบาลด้วยหลายสาเหตุอยู่บ่อยๆ ครั้งหน้า ตั้งใจว่าจะไม่พลาดอีก พูดเรื่องตาย รู้สึกสนุกทุกครั้ง ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร ยังไม่ได้คิดที่จะตาย ยังไม่ได้อยากตาย เพียงแต่รู้สึกว่าการตายเป็นเรื่องธรรมดาๆ เหมือนที่เดินข้ามถนนที่เวียดนามในระยะหลังๆ แล้ว รู้สีกว่า ธรรมดาๆ ก็เท่านั้นนะครับ

จบเรื่องตาย ซึ่งอันที่จริงก็ทรงแสดงไว้แล้วว่า ขณะนี้ ก็กำลังตายอยู่ทุกขณะ "เห็น เกิดแล้วเห็นก็ดับ "ได้ยิน" เกิด แล้วก็ดับ "ได้กลิ่น" แล้วก็ดับ "ลิ้มรส" (อาหาร) แล้วก็ดับ เป็นการตายทุกขณะ เกิดแล้วก็ตาย เกิด แล้วก็ตาย กว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้นี้ อีกนานเท่าไหร่ ก็ไม่ต้องไปคิดเลย มีโอกาสได้ฟังและเข้าใจความจริงที่ทรงแสดงนี้ บ่อยๆ เนืองๆ สะสมไป ก็บุญนักหนาแล้ว วันไหนก็วันนั้น ที่ความจริงจะปรากฏ ตรงตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา ไม่เป็นอื่นแน่นอน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เดือดร้อนเมื่อไหร่ ก็รู้ทันทีว่า นั่น "เรา" ไม่ใช่ "ธรรมะ" เป็นเราเมื่อไหร่ ก็รู้ได้ว่า ห่างไกลไปอีกแล้ว แน่นอนที่สุด

หลังอาหารเช้า ทางท่านเจ้าภาพได้กรุณาพาไปนั่งเรือสำรวจท้องทะเลที่มีชื่อเสียงของญาจาง โดยนั่งรถบัสไปยังท่าเรือที่อยู่บริเวณพระราชวังตากอากาศของจักรพรรดิ์เบ๋าได๋บนยอดเขา เห็นภาพของท้องทะเลสวยงาม มีเรือนานาชนิดจอดทอดสมอเรียงรายตามชายฝั่ง มองเห็นกระเช้าไฟฟ้าที่ข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก ข้ามไปยังสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งสร้างเป็นสวนน้ำและสวนสนุก เพื่อดึงดูด (เงินจากกระเป๋า) นักท่องเที่ยว แต่ไม่สามารถดึงดูดเงินในกระเป๋าคณะของเราได้ เนื่องจากคุณสุภาพสตรีทั้งหลายได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ไม่คุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียค่าแพกเกจนับสิบๆ ดอลล่าร์ เพียงเพราะอยากลองนั่งกระเช้าข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกนี้ โดยไม่เล่นเครื่องเล่นที่เหมารวมแล้วในแพกเกจ

อันดับต่อไป ขออนุญาตลงภาพกิจกรรมต่างๆ ในวันนี้ ที่ได้บันทึกมา พร้อมๆ กับ ข้อความการสนทนาธรรมในตอนบ่าย ที่พี่แดง ได้กรุณาถอดความเพื่อนำมาลงให้ทุกๆ ท่านได้มีโอกาสพิจารณาด้วย เพื่อประโยชน์แก่ทุกท่านบ้างตามสมควร ไม่ใช่แต่เพียงภาพที่แสดงเพียงกิจกรรม ที่ต้องการบันทึกไว้ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่งแต่เพียงถ่ายเดียวเท่านั้น อนึ่ง มีบางท่านที่เสนอความเห็นให้แยกภาพกับข้อความธรรมะไว้ต่างหากจากกัน เพื่อที่จะอ่านได้ต่อเนื่องรวดเดียวจนจบ ก็ขอขอบพระคุณในคำแนะนำนะครับ แต่ขอเรียนว่า จุดประสงค์ที่นำภาพ คั่นข้อความเป็นระยะๆ นั้น ก็เพื่อที่จะไม่ให้ข้อความติดกัน ซึ่งผู้ทำกระทู้คิดว่า เป็นการเว้นระยะ เพื่อให้มีการหยุดคิด พิจารณา คำ แต่ละคำ ซึ่งสำคัญมาก ไม่ควรอ่านแต่เพียงผ่านๆ โดยเร็ว และใช้ภาพ เป็นจุดพักสายตา และนำเสนอกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องการบันทึกไว้นี้ ไปพร้อมๆ กัน และ ดังที่ได้เคยปรารภไว้แล้ว ว่ากระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่จัดทำขึ้นนี้ เหมาะสำหรับท่านที่มีเวลาในการที่จะค่อยๆ อ่าน และพิจารณาข้อความ และกิจกรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นการนำเสนอภาพและกิจกรรมโดยละเอียด เท่าที่ความสามารถของผู้จัดทำ จะกระทำได้ เพื่อ "บันทึก" เก็บไว้ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเสมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ที่บอกเล่าเรื่องราว ใน ณ กาลครั้งหนึ่ง แต่ละครั้งๆ ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ให้เหมือนกับท่านที่ไม่มีโอกาสได้ไป ได้รู้สึกเหมือนกับได้ไปด้วยกัน สำหรับท่านที่ต้องการชมเพียงภาพกิจกรรมต่างๆ ก็สามารถทำได้โดยเลื่อนผ่านๆ ดูเพียงภาพ หรือท่านที่สนใจเพียงความการสนทนาธรรม ก็สามารถกระทำได้ โดยวิธีเดียวกัน เมื่อเห็นประโยชน์อย่างไร ก็ทำได้ตามอัธยาศัยนะครับ เพียงทุกท่านได้แวะเข้ามาอ่าน มาชมภาพหรือเรื่อง ก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่งแล้ว สำหรับผู้จัดทำ

ด.ช. นาม ที่อาจารย์สอนว่า ไม่มีใครปฏิบัติ ไม่มีใครถือศีล อย่างไรจึงถูก?

ท่านอาจารย์ ต้องศึกษา "แต่ละคำ" อย่างละเอียด และรอบคอบ อะไรศึกษา? อะไรปฏิบัติ?

ตอบ ศึกษา คือ ฟังและพิจารณา ปฏิบัติ คือ เข้าใจคำสอน

ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไร? ขณะนี้อะไรที่ไม่รู้? และ กำลังศึกษาอะไร?

ตอบ คือ สภาพธรรม

ท่านอาจารย์ สภาพธรรม คือ อะไร?

ตอบ สิ่งที่เกิดปรากฏ เดี๋ยวนี้ เช่น เห็น ได้ยิน

ท่านอาจารย์ หมายความยังไม่เข้าใจ "เห็น" เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม?

ตอบ ใช่

ท่านอาจารย์ หมายความว่า ยังไม่เข้าใจ "เห็น" และ "สิ่งที่ถูกเห็น" เดี๋ยวนี้ หมายความว่า กำลังเห็น เดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้!! ทำไมต้องศึกษาเห็น เดี๋ยวนี้? เพราะคิดว่าเป็น "เราเห็น" พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ทุกอย่างไม่เห็น ขณะ "เห็น" เป็นโลกหนึ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทำกิจเห็น แล้วดับไป ทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย แล้วหมด ไม่เหลือเลย สามารถรู้เฉพาะเห็น เดี๋ยวนี้ไหม?

ตอบ ไม่ เพราะกำลังศึกษา สภาพธรรม

ท่านอาจารย์ สภาพธรรม อะไร?

ด.ช.นาม เห็น ได้ยิน คิด

ท่านอาจารย์ ไม่เกิดพร้อมกัน เกิดทีละอย่าง

จอน เพราะเพียงศึกษา สภาพธรรม แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ทีละ ลักษณะ ปัจจัยที่ทำให้ระลึก คือ ฟัง พิจารณา จนเข้าใจอย่างมั่นคง สามารถประจักษ์สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ได้ไหม?

ด.ช.นาม เป็นไปได้ ถ้าฟังและพิจารณาจนเข้าใจ

ท่านอาจารย์ ง่ายไหม? หรือต้องใช้เวลานาน?

ซาร่าห์ เห็นด้วยตามทฤษฎีว่า เห็นเกิดเห็นสิ่งที่สามารถเห็นได้ เห็นเป็นโลกหนึ่ง จึงไม่ใช่เราเห็น มีแต่จิตเห็นเกิดเห็นเท่านั้น จิตเห็นเกิดพร้อมเจตสิกอื่นๆ คิดสิ่งที่เห็น ไม่มีใครคิด มีแต่จิตและเจตสิกทำกิจ "คิด"

ซาร่าห์ ขณะที่ทำความเคารพ ใครทำ? เป็นนามหรือเป็นสภาพธรรม? "รูป" เคารพได้ไหม? ไม่ได้ จิตและเจตสิกเคารพ กุศลจิตแลกุศลเจตสิกทำกิจเคารพ ถามว่า ขณะที่เข้าใจถูก ใครเข้าใจถูก?

ด.ช.นาม จิต และ ปัญญาเจตสิกที่ทำกิจเข้าใจ

ซาร่าห์ ขณะที่ติดข้องในสีหรือดอกไม้ ใครติดข้อง?

ด.ช.นาม เพียงจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย

ซาร่าห์ เจตสิกอะไร?

ด.ช.นาม วิจิกิจฉา

ซาร่าห์ วิจิกิจฉา สงสัย มีเจตสิกหลายอย่างที่ทำกิจแตกต่างกัน วิจิกิจฉา สงสัย ไม่แน่ใจ โลภะ ติดข้องทันทีที่เห็น ได้ยิน สภาพธรรมทุกอย่างไม่ใช่เรา เห็น ได้ยิน ... ต่างเป็นจิตและเจตสิกที่เกิดเพราะ เหตุปัจจัย

ท่านอาจารย์ สิ่งที่ได้ยิน เป็นสิ่งที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ถ้าไม่ได้ฟังคำสอน จะไม่รู้ว่า สภาพธรรม เกิดดับมากมาย แต่ เดี๋ยวนี้คืออะไร? ไม่เข้าใจการเกิด ตาย และคิดถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่เป็นพระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ การตรัสรู้ ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะคิดได้เอง ทรงสอนทุกอย่างที่เกิดขึ้น โดยไม่เคยมีใครได้ยินหรือรู้มาก่อน เรื่องตื่นและหลับ หลับไม่รู้อะไรในโลกนี้เลย ไม่รู้ด้วยเป็นใคร อยู่ที่ไหน แต่ยังคงมีชีวิตที่ไม่เหมือนกับตอนตื่น เมื่อได้ฟังธรรมก็ยังคงหลับและตื่น ไม่มีใคร นอกจากจิตและเจตสิก เมื่อหลับและฝัน ไม่มีความต่างระหว่างฝันและตื่น นี่คือชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย

ทรงแสดงเรื่อง สภาพธรรม เดี๋ยวนี้กับฝัน ต่างกันอย่างไร? ทรงแสดงทุกอย่าง เห็น เดี๋ยวนี้ต่างกับได้ยินไหม? เห็นขณะหนึ่ง ได้ยินอีกขณะหนึ่ง ถ้าเห็นไม่ดับ จะได้ยินได้ไหม? ไม่ได้ ขณะที่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิด ทรงสอนความจริงทุกขณะ เห็นเป็นเห็น เป็นไทย เป็นเวียดนาม ไม่ได้ เป็นเรา เป็นของเราหรือเปล่า? เกิดขึ้น แล้วดับไปทันที

ถ้าไม่ "ฟังความจริง" ก็ไม่เข้าใจ คำสอนลึกซึ้งและละเอียดมาก แค่ฟังว่า เกิดแล้วดับไป ไม่พอที่จะประจักษ์แจ้งได้ ถ้าไม่ศึกษาคำสอน จะรู้จักพระพุทธเจ้าไหม? ถ้าไม่เข้าใจคำสอน ไม่มีใครรู้จักพระองค์ แต่เมื่อเข้าใจ จะเห็นพระปัญญา แค่เห็นที่เกิดเห็น ไม่มีใครทำอะไร เห็น เดี๋ยวนี้ทำอะไรได้บ้าง คิดได้ไหม ไม่ได้ ชอบ ไม่ชอบ เห็นได้ไหม ไม่ได้ สภาพธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยของตน ทำกิจของตน สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นทำกิจของตน แล้วดับไป เห็นเกิดทำกิจเห็นแล้วดับไปทันที ไม่ให้ดับก็ไม่ได้

แม่ชี เห็นเกิดขณะเดียว แล้วดับไป

ท่านอาจารย์ เห็นเกิดเห็นขณะเดียว แล้วดับไปทันที เป็นเราได้ไหม? ไม่ได้ จึงทรงแสดงว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้ เกิดขึ้นเพราะ เหตุปัจจัย คน สัตว์ เกิดเพราะ เหตุปัจจัย ไม่ใช่ใคร นี่คือความหมายของธรรมะ สภาพธรรม พอทรงรู้แจ้งสภาพธรรมทั้งหมด จากการตรัสรู้ ทรงแสดงธรรม 45 พรรษา จะศึกษาเพียงสั้นๆ แล้วเข้าใจได้ไหม? ทรงแสดงความจริงของชีวิตที่สามารถเข้าใจได้ เมื่อได้ศึกษาคำสอน "ทีละคำ"

ใครรู้จัก ใครเห็น พระพุทธเจ้า?

ตอบ จิต

ท่านอาจารย์ จิต คือ อะไร?

ตอบ จิตคือสิ่งที่รู้ผิดและถูก

ท่านอาจารย์ จิตหรือปัญญาที่รู้? จิต คือ อะไร?

ตอบ สภาพรู้

ท่านอาจารย์ ในห้องมีอะไรบ้าง?

ตอบ เช่น อาจารย์พูด ฟังเข้าใจเป็นจิต

ท่านอาจารย์ ต้องใช้เวลานานมากที่จะเข้าใจคำสอน เพราะสะสมมาไม่เหมือนพระองค์ เมื่อทรงแสดงว่า เห็นเกิดแล้วดับทันที ไม่กลับมาอีก มาจากการตรัสรู้ ไม่ใช่จากการคิด พิจารณา จะเห็นว่า โชคดีมากที่ได้ฟังคำสอน ขณะที่ได้ยินเสียง หมาแมวได้ยินเหมือนกัน แต่ไม่เข้าใจ เป็นคนสามารถเข้าใจได้ เพราะคนเกิดมามีทุกอย่าง แต่ไม่พอ เห็น ได้ยิน คิด ทุกวันทุกคืน แล้วตาย ไม่เข้าใจตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อไม่ได้ฟังคำสอนเลย

ชีวิตสั้นมาก ไม่มีใครรู้ว่า เมื่อไรจะได้ยินอีก แต่ละคำลึกซึ้งมาก ทุกขณะในชีวิตมีสภาพธรรมเกิดดับ ไม่สามารถรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ถูกไหมที่คิดว่า สภาพธรรม เป็นเรา เป็นของเรา อะไรเห็นตั้งแต่เกิดจนตาย เห็นอะไร? "เห็น" เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่า อะไรเห็น? เห็นอะไร? เมื่อเบื้องต้นยังไม่เข้าใจ ก็ไม่สามารถเข้าใจสูงกว่านี้ได้ เช่น ปฏิจจสมุปบาท หรืออริยสัจ ๔ อยากเข้าใจมากๆ หรือ ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น

ไม่ว่าจะฟังเรื่อง "เห็น" มากมายหลายครั้ง ก็ไม่สามารถประจักษ์ "เห็น"อย่างที่ทรงตรัสรู้ได้ว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ "คิด" สภาพธรรมแต่ละอย่างมีลักษณะเฉพาะของตนๆ ถ้าไม่เข้าใจความจริง คำสอนที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงบ่อยๆ เนืองๆ จากชาติหนึ่งสู่ชาติหนึ่ง จนนับไม่ถ้วน อย่างที่ พระพุทธเจ้า ทรงสะสมบารมีมาเป็นกัป ไม่อย่างนั้นความติดข้องและความไม่รู้ จะนำออกจากคำสอนของพระองค์ ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญา จากขณะหนึ่งไปขณะหนึ่ง ก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะมีการเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ ความเข้าใจถูกไม่ใช่ขณะอื่น แต่เป็นเดี๋ยวนี้ ทีละขณะ

ถาม อยากศึกษาธรรม แต่ฟังวันนี้ยากมาก จะอธิบายจิต เจตสิก อย่างละเอียดได้ไหม?

ท่านอาจารย์ คำสอนง่ายต่อการเข้าใจหรือไม่?

ผู้ถาม ยาก

ท่านอาจารย์ กำลังสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า การเข้าใจสภาพธรรม ต้องใช้เวลา ใช้คำบาลี จำนวน เรื่องราว ก็ยังไม่ใช่การเข้าใจคำสอน ถ้ายังคิดว่า เราเห็น ก็ต้องใช้เวลานานมาก ที่จะไถ่ถอนความเป็นเรา มี สภาพธรรม 2 อย่าง คือ สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย เช่น เสียง ไม่สามารถรู้อะไรได้ แต่เป็นอารมณ์ของจิตได้ยินได้ และ สภาพรู้ ที่สามารถรู้สิ่งที่ปรากฏได้ เช่น กำลังเห็น เดี๋ยวนี้ เหมือนเห็นหลายอย่าง แต่จริงๆ เห็นทีละอย่าง

เข้าใจถูกหรือยัง? เห็นอะไร?

ตอบ ไม่เข้าใจชัด ช่วยอธิบายเพิ่ม

ท่านอาจารย์ มีเห็น เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม? เมื่อเห็น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น "เห็น" เห็นอะไร?

ตอบ เห็นทุกคน

ท่านอาจารย์ จริงหรือ? ลองหลับตา ยังเห็นทุกคนไหม? ไม่เห็น นี่คือเข้าใจพระปัญญาคุณ เรื่องจริง แต่ไม่มีใครรู้ มีสภาพเห็น และสิ่งที่ถูกเห็น เมื่อลืมตาจึงเห็น

ซาร่าห์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของชีวิต ถ้าไม่ได้ศึกษา ก็คิดว่าเห็นคน สิ่งของ ได้ยินเสียงคน นี่คือชีวิตปกติที่เห็น ได้ยิน ไม่ต้องการฟังคำสอนของ พระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเห็น ได้ยิน พระพุทธเจ้าทรงสอนความจริง 2 อย่าง สมมติสัจจะ และ ปรมัตถสัจจะ ความจริงแท้ที่ไม่เปลี่ยนเป็นอื่นในขณะนี้ จุดประสงค์ของคำสอนเพื่อให้เข้าใจความจริงของชีวิตเพิ่มขึ้น เพราะชีวิตคือขณะ เดี๋ยวนี้ มีประโยชน์ที่จะเข้าใจความจริงของชีวิตไหม?

ท่านอาจารย์ คิดว่า เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าละคลายความติดข้องได้ ถ้าไม่ฟังคำ จะไม่เข้าใจและติดข้องตลอดเวลา นี่คือความต่างกัน ของผู้ตรัสรู้และผู้ไม่รู้ ไม่มีสัตว์บุคคล มีแต่ สภาพธรรมเกิดขึ้นทำกิจ เห็นเกิดขึ้นเห็น ไม่ว่าที่ไหน เรียกว่าอะไร ถ้าไม่เข้าใจในขณะนี้ แล้วจะละคลายสิ่งที่ถูกเห็นได้อย่างไร? ใครสามารถละคลายความติดข้องได้ทันที?

ต้องฟัง เพราะความจริง คือ จริง เช่น ขณะนี้จริงไหม? จริง เห็นเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม กรรม คือ อะไร? กรรม คือ กรรม ไม่ใช่ตัวตน ถ้าไม่ลืมคำสอนว่า ไม่มีใคร ไม่มีเรา มีแต่ สภาพธรรมเกิดขึ้นทำกิจ ก็จะเข้าใกล้คำสอนมากขึ้น ถ้าใครคิดว่าเข้าใจกรรม แต่ยังคงเป็นกรรมของเรา อย่างนั้นเข้าใจกรรมหรือเปล่า? ไม่ใช่!!! แม้ยังไม่เข้าใจรายละเอียด แต่เริ่มด้วยเข้าใจว่า ไม่ใช่กรรมของใคร ไม่ใช่ตัวตน

การศึกษาธรรม ต้องเริ่มเข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ต้องไม่ประมาทในการศึกษาว่า อะไรเป็นหนทาง อะไรไม่ใช่หนทาง เริ่มศึกษา สภาพธรรม 2 อย่าง อย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย รูปธรรม ธรมะคือสิ่งที่มีจริง รูปธรรม เป็นธรรมะที่ไม่สารมารถรู้อะไรเลย ร่างกายรู้อะไรได้ไหม? มีประโยชน์ที่จะคิดพิจารณา ตาเห็นได้ไหม

ผู้ถาม ร่างกายของเราไม่สามารถรู้ได้ ตาไม่สามารถเห็นได้

ท่านอาจารย์ สามารถทำให้ สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยให้รู้ได้ไหม?

ตอบ ได้

ท่านอาจารย์ กรุณาทำ

ตอบ ต้องใช้เวลา ทำ เดี๋ยวนี้ไม่ได้

ท่านอาจารย์ สามารถทำให้ตาเห็นได้ไหม?

ตอบ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ตัวตน

ท่านอาจารย์ เห็นความต่างกันของ สภาพธรรม 2 อย่าง อย่างหนึ่งรู้ได้ อีกอย่างรู้ไม่ได้ เริ่มต้นต้องรู้อย่างมั่นคง ถึงความต่างกันของสภาพธรรม 2 อย่าง ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะเป็นอนัตตา "เห็น" เกิดแล้วดับ อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันคิดที่จะทำอะไร เมื่อยังไม่รู้ว่าเกิดแล้วดับแล้ว ก็คิดว่าเที่ยง ทำให้ติดข้อง อบรมเจริญปัญญา ทีละขณะเท่านั้น ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความเป็นอนัตตามากขึ้น เมื่อยังไม่เข้าใจ ก็ยังคงเป็นเราตลอดเวลา

ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ถ้าเข้าใจชัดว่า อะไรที่ถูกเห็น อะไรถูกได้ยิน จะละคลายความติดข้องได้ ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างนี้ ก็ไม่สามารถเข้าใจอริยสัจ 4 ได้

ท่านอาจารย์ เห็น เดี๋ยวนี้ดับไหม?

ตอบ เดี๋ยวนี้ทั้งเห็น ได้ยิน เกิดแล้วดับ

ท่านอาจารย์ จริงอย่างที่สุด แต่ไม่ใช่ใครจะรู้ได้ หรืออวิชชาจะรู้ได้ ต้องค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จนสภาพธรรมเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ ค่อยๆ ฟังจนเข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย มีศรัทธาเพิ่มขึ้นว่า ไม่มีตัวตนที่ทำ เป็นสัจจญาณมั่นคง จนเป็น กิจจญาณ หรือ สติปัฏฐาน ไม่ใช่ใคร!! แต่เป็นสติที่ระลึกรู้ สภาพธรรมที่ กำลังปรากฏ ขณะนี้ ตามสัจจญาณ

ในสมัยพุทธกาล ก็ยังมีผู้เห็นผิด ไม่ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า เหมือนสมัยนี้ ที่ฟังคำสอนของอาจารย์ที่ไม่ใช่คำของ พระพุทธเจ้า ผู้ไม่เข้าใจคำสอน ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า

ถาม ทำไมไม่ใช่ ปัญญาปัฏฐาน

ท่านอาจารย์ เพราะไม่ใช่ เจตนาปัฎฐาน จึงต้องรู้ว่า สติ คือ อะไร ปัญญา คือ อะไร สติเกิดกับกุศลจิตทั้งหมด แต่ ปัญญาไม่เกิดกับกุศลทุกดวง เดี๋ยวนี้มีแข็งไหม? มี ทุกคนตอบได้ แต่ไม่เข้าใจ จึงมีปัญญาหลายระดับ ขั้นฟัง ขั้นพิจารณา ขั้นประจักษ์แจ้ง อะไรเป็นปัจจัยให้สัมมาสติเกิดขึ้น มีสภาพธรรมปรากฏ สภาพธรรมทุกอย่างเป็นปัจจัยของสัมมาสติได้ ยกเว้นความคิดว่า เราทำได้ สัจจญาณ เป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดได้ การฟังเรื่องสภาพธรรม ยังไม่เพียงพอให้สติปัฏฐานเกิดได้ ต้องเข้าใจอย่างมั่นคงว่า สภาพธรรมทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา

ถาม ยังไม่เข้าใจ ศรัทธามั่นคงที่ทำให้เกิด ปัญญา

ท่านอาจารย์ ศรัทธามั่นคงในความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่มีใครทำ "เห็น" ให้เกิดได้ ไม่มีใครสามารถทำให้สติปัฏฐานเกิดได้ อาจารย์บางคนอาจบอกว่าทำสติปัฏฐานได้ นั่นขัดกับคำสอนของ พระพุทธเจ้า

ซาร่าห์ ถ้าคิดทำอย่างอื่นได้ นั่นคือไม่มีศรัทธาที่มั่นคงในความเป็นอนัตตา ในความเป็น สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย จนเป็นสัจจญาณ ไม่ถามว่า ทำอย่างไรจะระลึก ท่านอาจารย์เน้นความเข้าใจเรื่องรูปธรรม นามธรรม ไม่ใช่ตัวตน เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึก เป็น สติปัฏฐาน ถ้าคิดว่า ทำสติปัฏฐานได้ที่วัด เป็นทางผิด เพราะความเข้าใจไม่มั่นคง คิดว่า เราปฏิบัติ เราได้ผล ค่อยๆ ฟังคำสอนให้เข้าใจจนมั่นคงเป็นสัจจญาณ เป็นปัจจัยให้ สติปัฏฐานเกิดระลึกได้

ท่านอาจารย์ ขณะที่เข้าใจ ก็ละคลายความไม่เข้าใจว่าเป็นตัวตนได้ ทีละเล็ก ทีละน้อย สัจจะ ความจริง ญาณ ความเข้าใจที่แจ่มแจ้ง ปัญญา 3 ระดับ ขั้นฟัง ว่าเป็นอนัตตา มั่นคงพอหรือยัง? สภาพธรรมทั้งหมดมีการเกิดดับมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ แต่พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมทั้งหมด นี่เป็นของขวัญล้ำค่าที่ทรงประทานไว้เป็นมรดก ให้ผู้สนใจสามารถเข้าใจตามได้ กิจของอวิชชาไม่สามารถเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ วิชากับอวิชชา จึงตรงกันข้ามกัน คำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเป็นปัจจัยให้ละคลายความไม่รู้ และความติดข้อง

ขอเชิญคลิกชมวีดีโอคลิปการสนทนาธรรมบางตอนของวันนี้ จำนวน ๘ คลิป ได้ที่นี่...

ณ กาลครั้งหนึ่ง

ที่

The Light Hotel & Resort ญาจาง เวียดนาม

๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรม บ้านธัมมะเวียดนาม ทุกท่าน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง)

สำหรับข้อความการสนทนาธรรม ที่ถอดความสดขณะฟัง มาให้ประกอบเรื่อง ครับ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ท่านสามารถคลิกอ่านกระทู้ทั้งหมดในครั้งนี้ ตามลิงก์แต่ละหัวข้อด้านล่าง :

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๒]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๓]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๔]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๕ ดาลัด]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๖ ดาลัด]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๗ ดาลัด]

- ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘

- อันเนื่องมาจากการเดินทางไปเยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

- ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปร่วมในพิธีศพสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๘ ดาลัด-ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๙ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๐ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๑ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๒ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๓ ญาจาง พักผ่อนและสนทนาธรรมก่อนกลับ]


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 9 มิ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง อนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรทุกท่าน พลอต.หญิงกาญจนา เชื้อทอง คุณวันชัย ภู่งาม และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
napachant
วันที่ 9 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 9 มิ.ย. 2558

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 9 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 9 มิ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

มีโอกาสได้ฟังและเข้าใจความจริงที่ทรงแสดงนี้ บ่อยๆ เนืองๆ สะสมไป ก็บุญนักหนาแล้ว วันไหนก็วันนั้น ที่ความจริงจะปรากฏ ตรงตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา ไม่เป็นอื่นแน่นอน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เดือดร้อนเมื่อไหร่ ก็รู้ทันทีว่า นั่น "เรา" ไม่ใช่ "ธรรมะ" เป็นเราเมื่อไหร่ ก็รู้ได้ว่า ห่างไกลไปอีกแล้ว แน่นอนที่สุด

..ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดง และ คุณวันชัย ภู่งาม ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สิริพรรณ
วันที่ 9 มิ.ย. 2558

กราบบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์เป็นอย่างสูง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะคุณวันชัยด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
siraya
วันที่ 10 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ปวีร์
วันที่ 11 มิ.ย. 2558

ธรรมะกำลังปรากฎขณะนี้แต่ไม่รู้เลย ฟังเพื่อความเข้าใจและละ เท่านั้นครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาพี่วันชัยมากๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 11 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 11 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
j.jim
วันที่ 11 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wirat.k
วันที่ 11 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ