ถ้าเหลือ 30 นาที ท่านจะทำอะไร

 
suwit02
วันที่  2 มี.ค. 2551
หมายเลข  7659
อ่าน  1,614

ผมได้อ่านกระทู้ 07646, 07654 เป็นเรื่อง ความตาย ๓ เรื่อง

ใกล้กัน จึงนึกได้ว่า ไม่เคยเตรียมตัวตายเลย ผมขอความรู้หน่อยครับ สมมติว่า ท่านผู้ตอบกระทู้ กำลังจะตายโดย สั่งเสีย จัดแจงประโยชน์โลกนี้เสร็จแล้ว นอนในโรงพยาบาลและเหลือเวลาสัก ๓๐ นาที ก็จะตาย โดยเจ็บปวดขนาดพอทน และกำลังมึนนิดๆ ไม่ถึงกับเมา ด้วยฤทธิ์ยาแก้ปวด ท่านทำอะไร มนสิการอะไร ถ้าผมอ่านอันไหนแล้ว กลัวน้อยที่สุด จะได้ถืออันนั้น เป็นแบบอย่าง

ขอบคุณครับ

ปล.รีบตอบก่อนที่ผมจะตายนะครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
wannee.s
วันที่ 2 มี.ค. 2551

ถ้ารู้ตัวว่าจะตายภายใน ๓๐ นาที เราก็จะฟังธรรมะ และพิจารณาธรรมะที่ได้ยินได้ฟัง เท่าที่สติและกำลังปัญญาจะเกิดค่ะ ทุกอย่างเป็นอนัตตา ถึงยังไม่ตายก็ฟังธรรม และใกล้จะตายก็ฟังธรรมเช่นกันค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 2 มี.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ต้องไม่ลืมคำว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับให้เป็นดังที่บอก หรือเป็นดังใจได้ เพราะเป็นธรรมไม่ใช่เรา ถ้ายังยึดว่าเป็นเรา ก็คิดว่าสามารถบังคับให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ได้ เมื่อเหลือเวลาเท่านั้นเท่านี้ บางเวลาเราก็ไม่อยากฟังธรรม บางเวลาก็อยากฟังธรรม บางครั้งก็เป็นกุศล บางครั้งก็เป็นอกุศล ใครทำ แต่ธรรมต่างหากทำหน้าที่สะสมมา สะสมสิ่งใดมามากก็เป็นไปตามสิ่งนั้นมากครับ ถ้าจะทำก็ทำเดี๋ยวนี้ ทำให้เป็น กุศล แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเป็นอนัตตา และถ้ายังขาดความเข้าใจก็จะสำคัญสิ่งที่เป็นอกุศลว่าเป็นกุศลได้ จึงเป็นเรื่องของปัญญาครับ ที่สำคัญใครจะรู้ว่าจะตายที่เหลือเวลา ๓๐ นาที เป็นอนัตตาจริงๆ ครับ เริ่มเดี๋ยวนี้ แต่ก็เป็นอนัตตาอีกนั่นแหละครับ

ต้องมั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตาครับ

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ajarnkruo
วันที่ 2 มี.ค. 2551

เป็นเรื่องของปัญญาจริงๆ ครับ เวลาที่จะเกิดมา เราก็ยังเลือกเกิดไม่ได้ ไฉนเวลาจะตายใครจะเลือกได้เล่า แม้จะรู้ว่าการอบรม "มรณสติ" มีคุณ ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดได้อย่างใจต้องการ ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เป็นปุถุชน ปกติเวลาที่นึกถึงความตาย มักจะเต็มไปด้วยความไม่แยบคาย คือเป็นไปด้วยโทสะเป็นส่วนใหญ่ เป็นการแสดงออกมาถึงลักษณะของความรักตัวที่เกาะกุมเหนียวแน่นอยู่ลึกลงไปในจิต ไม่มีใครอยากจะตาย ไม่มีใครอยากจะเจ็บ ไม่มีใครอยากจะทนทุกข์ทรมาน แม้เพียงนึกถึงว่าตัวเองจะต้องตาย ก็ยังเป็นที่ตั้งของความหดหู่แห่งจิตได้ แต่ขณะที่ตายอยู่ทุกขณะ (ขณิกมรณะ) โดยเฉพาะเวลาที่สนุกรื่นเริง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นโทษว่า กำลังถูกฉาบทาด้วยโลภะและอวิชชามากขึ้นทุกทีๆ ชาตินี้สะสมเท่าไร ชาติหน้าจะสะสมไปอีกเท่าไร จึงมีเพียงความเข้าใจพระธรรมที่มั่นคงยิ่งๆ ขึ้นเท่านั้นครับที่จะบรรเทาอกุศลวิตกที่นึกถึงความตาย หรือเรื่องอะไรก็ตามที่ทำให้ไม่สบายใจและเป็นทุกข์ได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Komsan
วันที่ 2 มี.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
suwit02
วันที่ 2 มี.ค. 2551

ขออีก ขออีกหน่อยนะครับ

ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ขอเชิญเสนอวิธีเย้ยความตาย ให้ผมฟังอีก จะเหมือนเดิมหรือต่างไปก็ได้ ถึงจะเหมือนเดิม ผมก็จะได้รู้ว่าส่วนใหญ่ท่านรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
devout
วันที่ 2 มี.ค. 2551

ดูเหมือนว่าจะทำได้นะคะ แต่เมื่อถึงเวลาจริงแล้ว ทุกอย่างก็ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย สะสมอะไรกันมาบ้างล่ะค่ะ ชาตินี้รวมถึงหลายๆ ชาติที่ผ่านมาในสังสารวัฎฎ์ ธรรมนั้นนั่นแหละ ย่อมมีกำลังปรุงแต่งจิตในขณะแห่งมรณาสัณนกาลจนกว่าจุติจะเกิด สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ทันที

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 2 มี.ค. 2551

อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 5 โดย suwit02

ขออีก ขออีกหน่อยนะครับ

ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ขอเชิญเสนอวิธีเย้ยความตาย ให้ผมฟังอีกจะเหมือนเดิมหรือต่างไปก็ได้ ถึงจะเหมือนเดิม ผมก็จะได้รู้ว่าส่วนใหญ่ท่านรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...

ว่าด้วยมลทิน [มลวรรคที่ ๑๘]

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 2 มี.ค. 2551

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...

ว่าด้วยเทวทูตที่ ๕ [เทวทูตสูตร]

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 2 มี.ค. 2551
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 2 มี.ค. 2551
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 2 มี.ค. 2551

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...

ปฐมอายุสูตร ว่าด้วยอายุน้อย

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 2 มี.ค. 2551

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ....

จริงๆ แล้วไม่มีใครตาย?

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
shumporn.t
วันที่ 3 มี.ค. 2551

กรรมที่จะนำเกิด ต้องเป็นกรรมที่ครบองค์ จึงให้ผลนำเกิดได้ ส่วนลำดับการให้ผลของกรรมนั้นมี ๔ อย่าง คือ

๑. ครุกรรม ได้แก่ กรรมหนัก

๒. อาสันนกรรม กรรมที่กระทำใกล้ตาย

๓. อาจิณณกรรม กรรมที่กระทำเสมอเป็นนิตย์

๔. กฏัตตากรรม กรรมเล็กน้อย

ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งใกล้ตาย และในอดีตชาติ ท่านกระทำกรรมใดไว้บ้าง ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าจะมนสิการอย่างไร ขึ้นอยู่ว่าขณะนี้ ท่านมีปกติสะสมกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 3 มี.ค. 2551

อีกสามสิบนาทีจะตาย ใครรู้? และใครจะรู้ว่า แม้ได้ตั้งใจไว้แล้วว่าเมื่อใกล้ตายจะฟังธรรม จะพิจารณาธรรม แต่ว่าใครจะรู้? และใครจะทำได้อย่างที่ตั้งใจ ก็เมื่อธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ แล้วใครจะรู้? แล้วใครจะมีเวลาเย้ยความตาย? เวลาใกล้ตายอาจดิ้นทุรนทุรายกับความเจ็บปวดทรมาน จะมีอำนาจอะไรไปสั่งว่า "เจ็บปวดขนาดพอทน และกำลังมึนนิดๆ ไม่ถึงกับเมา" อย่าลืมว่าบางทีก็ "แว่บ" เดียว ไปโผล่ที่อื่นแล้วนี่ครับ ท่านมีเวลาตอนนี้ฟังธรรมตอนนี้ เข้าใจธรรมตอนนี้ เป็นกุศลตอนนี้ เหตุใดจะต้องรอเมื่อสามสิบนาทีที่ว่า เพราะอาจจะ "แว่บ" ตอนที่อ่านข้อความสุดท้ายนี้จบก็เป็นได้ ใช่ไหมครับ?

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
อิสระ
วันที่ 3 มี.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
prapan
วันที่ 3 มี.ค. 2551

ผมคิดว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาจริงๆ ครับ ไ ม่ทราบหรอกว่า จะตายเมื่อใด แต่หากมีโอกาสรู้ล่วงหน้าจริงๆ เช่น อยู่ในโรงพยาบาล ก็คงขออบรมปัญญา ให้มีความเห็นถูกต้อง ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตดวงสุดท้ายจะทำจุติกิจ นะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
prakaimuk.k
วันที่ 3 มี.ค. 2551

ก็ทำตัวตามปกติค่ะ ระลึกสภาพธรรมตามความเป็นจริง ตามที่ปรากฎ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด ความกลัว (ตาย) ความอาลัย การปล่อยวาง ฯลฯ อาจระลึกได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็แล้วแต่กำลังปัญญาที่ได้อบรมเจริญมา แต่อย่างหนี่งที่มั่นใจก็คือ ได้ศึกษาธรรมะที่ถูกทางแล้ว และจะเพียรต่อไป ไม่ทิ้งการฟังการอ่าน การอบรมเจริญปัญญา สิ่งต่างๆ ที่จะเกิดตามมานั้น เป็นอนัตตาจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ เราเพียงแต่น้อมรับผลทุกอย่างด้วยสติสัมปชัญญะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
pannipa.v
วันที่ 3 มี.ค. 2551

มีชีวิตอยู่มาจนถึง ๓๐ นาทีสุดท้าย ยังไม่ทำอะไรเลย แล้วถ้าเหลืออีกแค่ ๓๐ นาที จะทำอะไรทัน? มัวแต่จะหาวิธี เย้ยความตาย เย้ยอะไร? เย้ยอย่างไร? เฮ้อ เสียเวลาจังเลย น่าจะเอาเวลาที่คิดเรื่องที่ไม่ควรคิด มาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ดีกว่า จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน (ขอโทษนะคะ อย่าโกรธเลย)

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 3 มี.ค. 2551

คงไม่มีใครจะไปโกรธใครกระมังครับ? ก็เว็บนี้มีแต่ท่านผู้มีจิตเมตตา พูดในสิ่งที่ถูกและตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนนี่ครับ โกรธก็เป็นอกุศลซิครับ

อนุโมทนาทุกท่านผู้ตรงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
suwit02
วันที่ 5 มี.ค. 2551

อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 18 โดย pannipa.v

มีชีวิตอยู่มาจนถึง ๓๐ นาทีสุดท้ายยังไม่ทำอะไรเลย

แล้วถ้าเหลืออีกแค่ ๓๐ นาที จะทำอะไรทัน? มัวแต่จะหาวิธี เย้ยความตาย เย้ยอะไร? เย้ยอย่างไร? เฮ้อ เสียเวลาจังเลย น่าจะเอาเวลาที่คิดเรื่องที่ไม่ควรคิดมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ดีกว่า จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน (ขอโทษนะคะ อย่าโกรธเลย)

โกรธ สิ ครับ ทำไมเพิ่งตอบ ตอบอีกครับ ขอเชิญตอบอีก คำตอบแต่ละอัน ดีๆ ๆ ๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
pannipa.v
วันที่ 6 มี.ค. 2551

ขออนุโมทนา ที่อ่านและพิจารณาในแต่ละความเห็น อย่างอาจหาญ ร่าเริง

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
ตุลา
วันที่ 6 มี.ค. 2551

ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย

เชื่อว่า...ทุกคนอยากตายแบบสวยงามที่สุด แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามกรรม ที่ทุกคนสะสมมาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
khampan.a
วันที่ 8 มี.ค. 2551

บัณฑิตรู้ว่า ชีวิตไม่ยั่งยืน แล้วพึงอบรมเจริญปัญญาซึ่งจะเป็นไปเพื่อการขัดเกลา และดับกิเลสได้ในที่สุด

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
saifon.p
วันที่ 8 มี.ค. 2551

ควรเห็นประโยชน์ ในการฟังพระธรรม ว่างตอนไหนฟังตอนนั้น ไม่ควรประมาท เพราะไม่รู้จะตายเมื่อไร ขอให้นำทุกความคิดเห็น มาบูรณาการ แล้วนำไปประพฤติปฏิบัตินะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
suwit02
วันที่ 12 มี.ค. 2551

ผมขอพระขอบคุณ ทุกๆ ท่าน ที่เมตตาให้ธรรมทานแก่ผม ผมจะประมวลข้อธรรม เหล่านี้ ให้สำเร็จประโยชน์ตามฐานะ และหวังว่า ท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ คงได้รับประโยชน์โดยทั่วกัน แต่ผมต้องรับว่า ถ้ามัจจุราชมาเยี่ยมในเร็วๆ นี้ ยังไงก็ยังกลัวมากๆ เพียงแต่หากระลึกได้ตามที่ท่านทั้งหลายสอนมา บางทีจะไม่ลนลาน จนลืมสรณคมน์

ขอขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
suwit02
วันที่ 24 พ.ย. 2551
 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
orawan.c
วันที่ 24 พ.ย. 2551

อย่าได้ล่วงขณะที่จะฟังพระสัทธรรมให้เข้าใจ เพราะชีวิตเป็นของน้อยจริงๆ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
suwit02
วันที่ 24 พ.ย. 2551

อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 27 โดย orawan.c

อย่าได้ล่วงขณะที่จะฟังพระสัทธรรมให้เข้าใจ เพราะชีวิตเป็นของน้อยจริงๆ

ขออนุโมทนาค่ะ

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
majweerasak
วันที่ 25 พ.ย. 2551

ผมเข้าใจว่า คนโดยทั่วไปส่วนใหญ่ ไม่ชอบหรือกลัว ความทุกข์ทรมานที่เป็นทุกขเวทนา (ทุกข์กาย) หรือ โทมนัสเวทนา (ทุกข์ใจ) ถ้าความตาย ในที่นี้หมายถึงจุติจิต ขณะนั้นไม่ทุกข์กาย ไม่ทุกข์ใจ ไม่ทรมาน ไม่กลัวด้วย แต่ที่ยังทุกข์กาย ทุกข์ใจ กลัวนู่น กลัวนี่ ยังห่วงนู่น ห่วงนี่อยู่ก็เพราะยังไม่ตาย (จุติจิต ยังไม่เกิด)

ส่วนผู้ที่กลัวว่า จะไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี นั้นก็กำลังคิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เมื่อยังมาไม่ถึงก็ไม่ควรคิด ที่สำคัญเมื่อตายไปแล้ว ความเป็นสัตว์บุคคลนี้ ก็ไม่มีแล้ว แล้วท่านยังจะห่วงใครอีก ตอนใกล้ตายจริงๆ อาจจะทรมานน้อยกว่าตอนที่มีชีวิตอยู่นี่ก็เป็นได้ครับ ขณะนี้ดีกว่าครับ กำลังมี กำลังปรากฏ

 
  ความคิดเห็นที่ 30  
 
พุทธรักษา
วันที่ 25 พ.ย. 2551

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่... 03332 ผู้มีราตรีเดียวเจริญ. 10039 อุปมาแห่งชีวิต

 
  ความคิดเห็นที่ 31  
 
pornpaon
วันที่ 25 พ.ย. 2551

ก่อนนี้เคยทำอะไร ระลึกในอะไร เสพคุ้นกับอะไร

ขณะนี้ทำอะไร ระลึกในอะไร เสพคุ้นกับอะไร

เมื่อใกล้จะตาย ขณะจิตที่ดำเนินไปกว่าจะถึงจุติจิตนั้น

กรรมใดจะให้ผล ไม่อาจรู้ ไม่อาจเลือก

ถ้าจะเตรียมจริงๆ คือ ขณะนี้ ค่ะ

เพราะชีวิตนี้แสนสั้น เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 32  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 26 พ.ย. 2551

ทำไมคนราถึงกลัวความตายขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...

ว่าด้วยบุคคลที่กลัวและไม่กลัวตาย ๔ จำพวก [อภยสูตร]


อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 33  
 
suwit02
วันที่ 26 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 34  
 
นายเรืองศิลป์
วันที่ 28 พ.ย. 2551

ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงต่อไป เป็นปกติทุกเมื่อ ไม่ว่าเวลาใด

 
  ความคิดเห็นที่ 35  
 
opanayigo
วันที่ 29 พ.ย. 2551

คงไม่สามารถบอกได้ว่าใน ๓๐ นาที ที่เหลือจะทำอะไร เพราะสติเป็นอนัตตา ตามเหตุปัจจัย รู้แต่ว่าชีวิตเป็นของเปราะบางมาก ไม่ควรประมาท เยื่อใย ความผูกพัน ในตัวตน เพราะมีเรา

"การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ควรอบรมเจริญปัญญา จนกว่ารู้แจ้งสัจธรรม" จาก ปกหลังหนังสือ แด่ผู้มีทุกข์ / อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์

อนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 36  
 
เมตตา
วันที่ 30 พ.ย. 2551

ไม่มีใครทำอะไรได้ทั้งนั้น เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้นนั้นไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ไม่ต้องรออีก ๓๐ นาที เพราะขณะต่อไปอาจตายก็ได้ สิ่งสำคัญ คือขณะนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ควรประมาทที่จะฟังพระธรรม อบรมความเห็นถูกเข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎอยู่ในขณะนี้ ความเข้าใจ คือปัญญา ถ้าขณะนี้ยังไม่เข้าใจอีก ๓๐ นาทีที่เหลือคงทำอะไรไม่ได้ มนสิการอะไรไม่ได้ เพราะเป็นตัวตนที่จะทำ หากเป็นผู้ที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอยู่เสมอๆ ถ้ารู้ว่ากำลังจะตายก็จะฟังพระธรรมค่ะ การได้ฟังเสียงพระธรรมย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 37  
 
chatchai.k
วันที่ 1 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ