ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๗

 
khampan.a
วันที่  14 ธ.ค. 2568
หมายเลข  51643
อ่าน  534

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๗




~ ถ้าจะมีคนที่บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ ธูปเทียน วัตถุของหอมมากมายมหาศาล กับ การที่ฟังพระธรรมและเข้าใจพระธรรม คิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทำให้พระองค์เกิดปีติ ดอกไม้ทำให้ปีติได้ไหม หรือ การที่มีผู้สามารถเข้าใจพระธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดง?

~ ผู้ฟังธรรมต้องรู้ว่าฟังเพื่อเห็นถูก เห็นถูกแล้วจะหมดกิเลสวันนี้หรือไม่? ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ความรู้ต่างกับความไม่รู้ เพราะว่าอกุศลทั้งหลายมาจากความไม่รู้ แต่กุศลทั้งหลายจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีความรู้ถูกต้องขึ้น บังคับไม่ได้เลยที่จะไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น หรือกุศลเมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้น แต่เมื่อมีความรู้เพิ่มขึ้น กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาจะนำไปสู่หนทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้น พ้นจากความทุกข์ได้ในวันหนึ่ง

~ ปัญญาเกิดไม่ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมและต้องเป็นผู้ที่เคารพในพระรัตนตรัย แล้วไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง นั่นคือ พระพุทธประสงค์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตั้งแต่เมื่อครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ความไม่รู้มากมายสักแค่ไหน ที่จะต้องเป็นผู้ที่ตรง อย่าไปคิดว่า สามารถจะดับกิเลสได้โดยไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการฟัง ก็คือรู้ว่ากำลังฟังธรรม นี่คือความถูกต้อง ไม่ได้ฟังเรื่องอื่น ธรรมกำลังมี และฟังเรื่องธรรมที่มี เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ประโยชน์คือฟังธรรมเพื่อรู้ธรรม ตั้งแต่ยังไม่รู้เลย จนกระทั่งค่อยๆ รู้ขึ้น จนกระทั่งความรู้นั้นชัดเจนขึ้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์ความจริง จนสามารถดับกิเลสได้ นี่คือการรู้ธรรม ไม่ได้รู้อย่างอื่น

*** ~ คนที่ไม่มีโทสะไม่เดือดร้อนเลย คนที่มีโทสะเดือดร้อน และเมื่อมีความเดือดร้อนแล้วใจร้อนมากเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้กระทำสิ่งที่ไม่สมควร ผิดปกติทางกาย ทางวาจา นำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้คนอื่นด้วย***

~ การฟังธรรม ก็คือ การฟังพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงคำว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา” คือให้เห็นจริงๆ ให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม ที่ไม่รู้และหลงยึดถือว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความไม่รู้นานแสนนาน ก็จะได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่าขณะนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากสิ่งที่เกิดปรากฏนิดหน่อยแล้วก็ดับไป

~ การศึกษาธรรมก็ให้รู้จักธรรม เพื่อละความเป็นตัวตน เพราะเหตุว่าปัญญาเหมือนแสงสว่างที่เข้าใจถูกเห็นถูก ถ้าเป็นความมืดจะมองเห็นไหมว่าขณะที่กำลังโกรธ ขุ่นเคืองใจไม่พอใจใคร คนนั้นไม่ดี ความจริงธาตุที่กำลังโกรธนั้นเป็นธาตุเลว ถ้าไม่ใช่ปัญญา ไม่สามารถรู้ได้เลย

~ สิ่งที่เกิดไม่มีใครไปทำให้เกิดได้เลย นอกจากเมื่อเหตุนั้นมี ถึงกาลที่จะเกิดทำกิจการงานก็เกิดขึ้นทำกิจการงาน การฟังธรรมก็เพื่อให้เข้าใจมั่นคงขึ้นในแต่ละคำที่ตรัส เช่น ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ก็เริ่มเข้าใจว่าไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ต่อเมื่อมีปัจจัยเหมาะควรแก่สิ่งใดที่จะเกิด สิ่งนั้นก็เกิด เกิดแล้วก็ดับไป

~ ประโยชน์ของการฟังธรรม เพื่อให้มีความเห็นถูกความเข้าใจถูก เพราะถ้ายังยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ไม่มีทางละอกุศลธรรมใดๆ ได้เลย เพราะเห็นผิดว่าเป็นเรา แล้วจะไปละอะไรได้ เมื่อมีเราก็ต้องการให้เรามีความสุขมากๆ ความสุขนั้นมาจากไหน มาจากสิ่งที่เห็นทางตา หรือว่าเสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็แค่นี้เอง

~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ การสามารถอบรมเจริญความเห็นถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกขณะของชีวิต เพื่อให้ผู้อื่นสามารถเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงซึ่งเป็นกุศลที่จะทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้น ถ้ามีปัญญาเห็นถูกต้องแล้วจะทำอกุศลไหม ก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นปัญญาจะนำมาซึ่งกุศลทุกประการด้วย

~ ขณะใดที่สามารถมีความเห็นถูกว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จะเดือดร้อนไหม เพราะไม่มีเรา เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้ถ้าพลัดพรากจากคนที่เป็นที่รัก จะเดือดร้อนไหม เป็นธรรมดาหรือไม่ พลัดพรากมาแล้วนานเท่าไหร่ ชาติก่อนๆ ก็พลัดพรากจากชาติก่อนหมดเลย ไม่เหลือเลย ชาตินี้ก็พลัดพรากอยู่ทุกขณะ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้าย ซึ่งไม่เหลืออีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก็พลัดพรากโดยตลอด เดือดร้อนไหม ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมซึ่งต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น

~ ลองคิดถึงคำว่า “ธรรม” ทุกอย่างที่เป็นธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ทำไมไปหลงยึดติดสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ดับแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือเลย ไม่ต้องรอไปจนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายที่จะจากโลกนี้ไปซึ่งจะหมดความเป็นบุคคลนี้ ตั้งแต่เกิด จะสุข จะทุกข์อย่างไรก็ไม่มีเหลือ แม้แต่เมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือ ขณะก่อนนี้ก็ไม่เหลือ

~ แม้เป็นความจริง ก็ต้องดูว่าเป็นประโยชน์หรือเปล่า ทุกคนรู้เรื่องจริงมาก แต่ไม่ได้พูดทั้งหมด โดยเฉพาะถ้าสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์ แต่ก่อนนี้ก็อาจจะพูดจริงเพราะเห็นว่าจริง ก็พูดได้เพราะจริง แต่ต่อไปก็จะพิจารณาว่าจริง แต่มีประโยชน์หรือมีโทษกับบุคคลอื่น ถ้าไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น ก็ไม่พูด เพราะไม่มีประโยชน์ แม้ว่าเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าเป็นประโยชน์ เป็นสิ่งที่ควรพูด และก็ดูกาลด้วยว่าจะได้รับประโยชน์จากคำพูดนั้นถูกต้องตามประโยชน์นั้นๆ หรือไม่ เวลาพูดก็พูดด้วยถ้อยคำที่น่าฟัง

~ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำใดๆ หรือเพียงการพูด การคิด ก็ต้องเกิดจากการสะสม ซึ่งไม่ใช่มีแต่เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว แต่สะสมมาแล้วมากในชาติก่อนๆ จนกระทั่งการพูด การคิด การกระทำในชาตินี้เป็นอย่างนี้ และที่จะเป็นต่อๆ ไป ในชาตินี้และในชาติหน้า ก็เพราะการสะสมซึ่งกำลังสะสมอยู่เรื่อยๆ

~ มีใครพ้นจากชาติ (การเกิด) ไหม ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อมีชาติแล้ว ต้องมีชรา ต้องมีมรณะ และต้องมีความเร่าร้อนจากทุกข์ใจและทุกข์กาย

~ จะเห็นได้ว่าชีวิตประจำวันที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือกันจริงๆ สามารถที่จะกระทำได้ทั้งในระดับขั้นของวัตถุทานและในระดับขั้นของธรรมทานซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มีโอกาสเข้าใจธรรมถูกต้องและได้ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วย นอกจากนั้นการทำให้บุคคลอื่นมีความเข้าใจธรรม จะทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้นด้วย เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรม กุศลอื่นๆ ก็เจริญไม่ได้

*** ~ เก็บเล็กผสมน้อยกุศลไปเรื่อยๆ โดยที่ว่าไม่ใช่เรา แต่เพราะได้เข้าใจอันเนื่องมาจากการได้ฟังพระธรรม ก็ทำให้ไม่ลืมและเห็นประโยชน์ของกุศล เพราะฉะนั้น กุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็เริ่มที่จะเพิ่มขึ้น***



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔๖





... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พรปวีณ์
วันที่ 14 ธ.ค. 2568

น้อมกราบเท้าท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในความเมตตาเกื้อกูลธรรม

อนุโมทนาในกุศลจิต สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 14 ธ.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ภาคินี
วันที่ 14 ธ.ค. 2568

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์คำปั่นค่ะ กราบเท้า บูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
swanjariya
วันที่ 14 ธ.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มังกรทอง
วันที่ 14 ธ.ค. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สิริพรรณ
วันที่ 14 ธ.ค. 2568

ขอถวายความนอบน้อมแด่พระอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเพื่ออะไร เพื่อให้คนได้เข้าใจความจริง เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ถ้าเขาสามารถเข้าใจคำที่พระองค์ทรงแสดง เขาสามารถพ้นจากการเกิด พ้นจากทุกข์เพราะได้รู้ความจริง
การฟังธรรม ก็คือ การฟังพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงคำว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา” คือให้เห็นจริงๆ ให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม ที่ไม่รู้และหลงยึดถือว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความไม่รู้นานแสนนาน ก็จะได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่าขณะนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากสิ่งที่เกิดปรากฏนิดหน่อยแล้วก็ดับไป

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ขอบพระคุณยินดีในกุศล อ.คำปั่นด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 14 ธ.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ