เพชรแท้เพชรเทียม

อ.ธีรพันธ์: เมื่อพูดถึงจิตซึ่งเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ซึ่งเป็นประธานครับ แต่ที่กล่าวถึงจิตความรู้แจ้งของจิตครับซึ่งต่างจากเจตสิก ก็สามารถที่จะรู้ว่าเป็นเพชรแท้ เพชรเทียม แต่อย่างไรครับบางทีก็ไม่ได้เห็นความเป็นเพชรเทียมเลย แต่ว่า ก็คิดว่าเป็นเพชรแท้ด้วยซ้ำไป เหมือนกับไปได้รู้แจ้งเป็นอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เป็นเพชร แต่รู้แจ้งลักษณะที่กระทบตา
อ.ธีรพันธ์: ไม่รู้แจ้งว่า เป็นเพชร ก็ขณะนั้นกำลังรู้ว่า กำลังมองไปที่เพชรครับ
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง แต่เห็นไม่ใช่เห็นเพชร
อ.ธีรพันธ์: ครับ
ท่านอาจารย์: เห็นอะไร?
อ.ธีรพันธ์: เห็นสีสันวรรณะที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์: แจ้ง แจ้ง จนกระทั่งภายหลังไม่ใช่จิตเห็นที่รู้ว่าเป็นเพชร จิตที่เกิดต่อมาจึงรู้ว่าเป็นเพชรแท้ หรือเพชรเทียม จะพร้อมกันไม่ได้
อ.ธีรพันธ์: ครับ แล้วทำไมจึงเห็นแจ้ง แล้วยังคิดต่อว่าเป็นเพชรจริง ทั้งๆ ที่เป็นเพชรเทียม
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีเห็นเลย จะมีการที่จะเป็นไปเป็นโลกไหม? อยู่ในอำนาจของจิตทั้งนั้น ถ้าจิตเห็นไม่เกิดขึ้น สงครามมีไหม? สันติภาพมีไหม? ต้นไม้มีไหม? เพชรจริงมีไหม? เพชรเทียมมีไหม? ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ จึงมีการทุจริตต่างๆ เอาเพชรเทียมไปขายเป็นเพชรแท้
อ.ธีรพันธ์: ครับ แต่ที่ว่าจิตรู้แจ้งก็ยังสามารถรู้ความเป็นเพชรแท้
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่เพชรๆ สิ่งที่ปรากฏจนสามารถจิตภายหลังรู้ว่า เห็นอะไร และรู้ลักษณะที่ต่างๆ กัน จึงรู้ว่าแท้หรือเทียม เกิดต่อกันเร็วมาก
อ.ธีรพันธ์: ครับ
ท่านอาจารย์: แต่จิตเห็นจะรู้ว่า เป็นเพชรไม่ได้ จิตเห็นเห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตา ทุกอย่างต้องมั่นคงเปลี่ยนไม่ได้
อ.ธีรพันธ์: ครับ เพราะว่าเห็นแล้วก็คิดตามมาคิดไม่ตรง ตรงนี้ครับ ทั้งๆ ที่ลักษณะนั้นไม่เปลี่ยนครับ ความเป็นเพชรเทียมก็ไม่เปลี่ยน
ท่านอาจารย์: สิ่งที่กระทบตา
อ.ธีรพันธ์: ครับ สิ่งที่กระทบตาไม่เปลี่ยน
ท่านอาจารย์: จะแท้ หรือเทียมก็ต้องกระทบตา
อ.ธีรพันธ์: ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วจิตเห็นเกิดขึ้นรู้แจ้งชัดเจน
อ.ธีรพันธ์: ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงรู้ว่า แท้กับเทียมต่างกันเพราะจิตรู้แจ้งของสีสันวรรณะที่ปรากฏต่างกัน สัญญาก็จำทั้งหมดทุกอย่าง
อ.ธีรพันธ์: ความแจ้งของจิตนี่เองครับ ก็คิดเลยเป็นเพชรแท้เพชรเทียม
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่จิตเห็น
อ.ธีรพันธ์: ครับ คิดจนกระทั่งว่า เพชรปลอมก็คิดว่าเป็นเพชรแท้
ท่านอาจารย์: ขณะนั้นจิตก็รู้แจ้ง
อ.ธีรพันธ์: ขณะที่คิดก็รู้แจ้ง
ท่านอาจารย์: จิตเกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ จึงสามารถที่จะรู้ว่า อะไรเป็นอะไร โกรธจนเกลียดจนอะไรๆ ทุจริตต่างๆ ทั้งหมด เพราะจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง นำมาซึ่งความคิดหลากหลาย นำมาซึ่งโลกโน้นโลกนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้
อ.ธีรพันธ์: ครับ ท่านอาจารย์พูดถึง นี่ก็ไม่ค่อยได้ยินบ่อยครับ เวลาพูดถึงความรู้แจ้งอารมณ์ของจิต ขณะนั้นไม่ใช่เพชร เป็นสิ่งที่ปรากฏนี่ครับ สิ่งที่ปรากฏอย่างไรก็ไม่เปลี่ยน แล้วมีจิตอีกหลายประเภทที่ไม่รู้ตรง
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เพชรแท้ก็กระทบตา เพชรเทียมก็กระทบตา แต่จิตไม่ได้รู้ว่าเป็นเพชร แต่รู้แจ้งเฉพาะที่กระทบตา จึงสามารถติดต่อไปรู้ว่าแท้หรือเทียม
อ.ธีรพันธ์: ครับ ลึกซึ้งมากครับ ก็เลยเป็นเพชรแท้เพชรเทียมไป เป็นสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น
ท่านอาจารย์: เพราะเพชรแท้ต้องไม่ใช่เพชรเทียมใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: ไม่ใช่แน่นอนครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พอกระทบตา จิตรู้ความต่างแน่ แต่จิตต่อไปของคนที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าอันไหนแท้อันไหนเทียม
อ.ธีรพันธ์: ครับ ก็คิดว่าเป็นความคิดเป็นเห็น ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ ความละเอียดของพระธรรมนี่ต้องค่อยๆ ...
ท่านอาจารย์: ค่อยๆ สะสม เพราะเห็นประโยชน์อย่างยิ่งว่า พระธรรมลึกซึ้ง แต่สามารถรู้ได้ เมื่อได้ค่อยๆ เข้าใจโดยความมั่นคงในความเป็นจริงของแต่ละลักษณะว่าเป็นธรรมะที่เป็นอนัตตา
อ.ธีรพันธ์: ท่านอาจารย์ครับ ผู้ที่ชำนาญในเพชรผู้นั้นก็ต้องใส่ใจที่จะรู้ ไม่ใช่มอง
ท่านอาจารย์: แต่เห็นเหมือนกันหมดกระทบตาเหมือนกันหมด แต่ภายหลังผู้ที่มีความรู้มีการศึกษามีการเข้าใจความต่างว่า ต่างกันอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ต่างกันอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น เขาก็สามารถที่จะบอกได้
อ.ธีรพันธ์: ครับ ธรรมะไม่เปลี่ยน แต่ความไม่รู้นี่ครับ
ท่านอาจารย์: คนเราที่จะคิดต่างกันไงค่ะ คนที่ศึกษามาเรื่องเพชรก็คิดต่างกับคนที่ไม่ได้ศึกษา
อ.ธีรพันธ์: เห็นปั๊บก็รู้ทันทีเลยครับ กราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธีรพันธ์ ด้วยความเคารพค่ะ


