ฟังเพื่อรู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทุกขณะ

 
เมตตา
วันที่  30 พ.ย. 2568
หมายเลข  51562
อ่าน  186

[เล่มที่ 67] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 256 - 258

กัปปมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๐

ว่าด้วยปัญหาของท่านกัปปะ

[๓๖๖] (ท่านกัปปะทูลถามว่า)

ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมอันเป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร เมื่อห้วงกิเลสเกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ผู้อันชราและมัจจุราชถึงรอบแล้ว อนึ่ง ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์ ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกอย่างไร.

[๓๖๗] สงสาร คือ การมา การไป ทั้งการมาและการไป กาลมรณะ คติ ภพแต่ภพ จุติ อุปบัติ ความบังเกิด ความแตก ชาติ ชราและมรณะ ท่านกล่าวว่า สระ ในอุเทศว่า มชฺเฌ สรสฺมิํ ติฏฺตํ ดังนี้.

แม้ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏ แม้ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารก็ไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ ตั้งอยู่เฉพาะ พัวพัน เข้าถึง ติดอยู่ น้อมใจ ไปแล้ว ในท่ามกลางสงสาร.


[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 44
ข้อความบางตอนจาก

อายตนสูตร ว่าด้วยผัสสายตนะ ๖

[๔๖๖] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า นี้เป็นมาร ผู้มีบาปจึงตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ทั้งสิ้น นี้เป็นโลกามิสอัน แรงกล้า โลกหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์ เหล่านี้ ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้า มีสติก้าวล่วง โลกามิสนั้น และก้าวล่วงบ่วงมารแล้ว รุ่งเรื่องอยู่ดุจพระ อาทิตย์ ฉะนั้น


อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ครับ สังสาระ ก็ได้อ่านในพระไตรปิฎก และได้สนทนากันด้วย ก็เข้าใจถึง การเที่ยวไป ก็คือธาตุรู้ คือจิตที่ เป็นไปๆ ๆ แล้วก็จากขณะสู่ขณะจนไปถึงจากภพสู่ภพ ที่ท่านแสดงไว้โดยตั้งแต่จิตขณะนี้ดับไป จิตขณะต่อไปก็เกิดขึ้นทันทีไม่มีระหว่างคั่น แล้วเมื่อธาตุรู้เกิดก็ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด คืออารมณ์ ก็ต้องเป็นเช่นนั้น แต่ว่า ความไม่รู้ที่มีที่น่ากลัว ก็คือทำให้มีความยินดีพอใจในความเป็นอย่างนี้ในความเป็นสังสาระ ก็คือในการมาการไป

เราไม่รู้เลยว่า ขณะนี้ก็ยินดีอยู่ ซึ่งข้อความที่สนทนาเมื่อวานใน กัปปมาณวกปัญหา ปัญหาของท่านกัปปมาณพครับ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เตือนว่า สังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด แม้ที่สุดเบื้องต้นหรือเบื้องปลายก็ไม่ปรากฏ แต่ว่าที่หนักสัตว์ทั้งหลายก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่เฉพาะ พัวพัน เข้าถึง ติดอยู่ น้อมใจไปแล้วในท่ามกลางสังสาระ ก็คือ ยังพอใจ ยังติดอยู่ นะครับ

ซึ่งเมื่อเช้าคุณศรีสอางค์ส่งข้อความในเรื่องของอามิสสะ ๓ อย่าง โลกมิสะ กิเลสามิสะ และก็วัฏฏามิสะ กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า กิเลสเป็นเครื่องล่อ เราก็ยินดีพอใจในโลภะในอะไรต่ออะไรครับ แล้วก็ โลก เป็นเครื่องล่อ คือโลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ครับ ก็พอเข้าใจได้ในขั้นเรื่องราว แต่ว่า วัฏฏะเป็นเครื่องล่อครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ได้เมตตากล่าวถึงความที่วัฏฏะเป็นเครื่องล่อครับ แล้วคุณศรีสะอางค์จะเข้ามากราบสนทนากับท่านอาจารย์ก็ได้เลยครับเพราะมองไม่เห็นจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะว่า ทุกอย่างที่กล่าวแล้ว คือเดี๋ยวนี้ แต่ไม่เห็น

เพราะฉะนั้น ฟังไปคิดไป แต่รู้ไหมว่า ขณะนี้เองเป็นทุกอย่างที่ได้กล่าวแล้ว ไม่ใช่ขณะอื่นทั้งสิ้นแต่ละหนึ่งขณะ

อ.อรรณพ: ครับ

ท่านอาจารย์: ต้องไปหาที่ไหน กำลังเป็นอย่างนี้ทุกคำที่กล่าว

อ.อรรณพ: ครับ แล้วความเป็นเครื่องล่อของวัฏฏะเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: เห็นอะไรชอบหรือเปล่า?

อ.อรรณพ: ชอบ

ท่านอาจารย์: นั่นแหละ ล่อหรือเปล่า ให้ชอบ

อ.อรรณพ: ล่อครับ แล้วโลกามิสล่ะครับ กับวัฏฏามิส อ๋อ.. คิดได้เองว่า แม้ผู้ที่พระอนาคามีที่ข่มความติดข้องในกามไปแล้ว ก็ไม่มีโลกามิสในภูมิที่เป็นกามภูมิ แต่ก็ยังยินดีในวัฏฏะ เห็นได้ยากมากเลยครับท่านอาจารย์ วัฏฏะที่เป็นเครื่องล่อ แม้พระอนาคามีก็ยังยินดีในวัฏฏะ แต่ว่าความยินดีในวัฏฏะของพวกผมซึ่งก็เป็นไปในเครื่องล่อทั้ง ๓ ไม่ว่าจะโลกามิส กิเลสามิส แล้วก็วัฏฏามิส ก็ยากที่สุดที่จะเห็นนะครับว่า ยินดีในวัฏฏะครับ ยินดีในโลกะ ในโลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้พอเห็นนะครับ แต่ยินดีในเครื่องล่อ วัฏฏะ ที่เป็นเครื่องล่อ ลึกซึ้งครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ง่ายเหลือเกินหรือ?

อ.อรรณพ: สิ่งที่ยากที่สุดครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟัง แต่ละคำนี่เข้าใจแค่ไหน ไม่ใช่เป็นคำที่ได้ยิน ไม่ใช่เป็นเสียง ไม่ใช่เป็นตัวหนังสือ แต่เป็นตัวธรรมะทุกขณะ มีให้รู้ให้เข้าใจให้พิจารณาให้ไตร่ตรอง

เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมะไม่ใช่ไปศึกษาคำ เรื่องราว ตัวหนังสือ แต่ศึกษาว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรตามที่ได้กล่าวแล้วซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยว่าเป็นอย่างนั้น แต่ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ ไตร่ตรอง จนกระทั่งมีความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่ได้ฟัง เพื่อรู้สิ่งที่มีจริงๆ ฟังเพื่อรู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทุกขณะ ต่างกันแล้วใช่ไหม ทุกคำ มีจริงเดี๋ยวนี้ทุกขณะ

อ.อรรณพ: ทุกคำมีจริงเดี๋ยวนี้ทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นโลก ไม่ว่าจะเป็นกิเลส ไม่ว่าจะเป็นวัฏฏะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ได้ฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน ไม่ใช่เข้าใจตัวหนังสือ แต่เข้าใจสิ่งที่มีจริงซึ่งต้องอาศัยคำ ได้ยิน เขียนจารึกเป็นเสียงที่ได้ฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจว่า ฟังความจริงไม่ใช่ฟังคำในตัวหนังสือ

เพราะฉะนั้น บางคนจะติดแน่นในหนังสือ แปลว่าอย่างนี้ ต้องตรงเป๊ะอย่างนี้ แต่ไม่รู้เรื่องแล้วไม่เข้าใจ แต่ความเข้าใจทั้งหมดจะสอดคล้องกันไม่คัดค้านกันเลย ไม่ขัดแย้งกันเลย เพราะเหตุว่าความจริงเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดในแง่ไหนมุมไหน ก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่ถูกปิดบังไว้ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งถูกปิดบังไว้จนกระทั่งสามารถที่ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี อย่างน้อยมี่สุด หรือว่าพูดเพื่อให้ฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะรู้ความจริงได้เมื่อสิ่งนั้นกำลังปรากฏเท่านั้น

อ.อรรณพ: ก็ต้องเริ่มต้นตรงนี้ ใส่ใจตรงนี้ ก็คือเริ่มต้นที่จะฟัง ใสใจที่จะรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้น

ท่านอาจารย์: รู้ว่า พูดสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะได้รู้ตัว มีความเข้าใจ หรือไม่เข้าใจแค่ไหน? ระดับไหน?

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่ ..

ผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร [กัปปมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑๐]

ถูกเหยื่อล่อ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 30 พ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 30 พ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณมากค่ะน้องเมตตา ยินดียิ่งในกุศลทุกประการนะคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ