การเจริญพรหมวิหาร
ผู้ฟัง การเจริญพรหมวิหาร กรุณา มุทิตา อุเบกขาไปพร้อมกับเมตตาด้วยได้ไหม
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องของการอบรม แล้วก็มีความรู้ว่าทั้ง ๔ อย่างต่างกัน คือ เมตตา มีความปรารถนาดี มีความเป็นมิตร ต้องการให้คนอื่นมีความสุข กรุณา เวลาที่คนอื่นมีความทุกข์ เห็นใจ เข้าใจ แล้วก็ช่วยเหลือให้คนอื่นพ้นจากความทุกข์ แต่ว่าเวลาที่มีกรุณา หมายความว่าขณะนั้นต้องเป็นกุศล ซึ่งคนที่ยังมีกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ก็จะมีอกุศลเกิดสลับได้ เพราะว่าบางคนกรุณาคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่ว่ามีความสำคัญตน ได้ใช่ไหม หรือว่ามีความถือตัวก็ได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องมีความละเอียดขึ้น เมื่อเป็นกุศลอย่างหนึ่ง และกุศลอย่างอื่น ก็ควรเจริญด้วย
มีคนบอกว่า เขาให้เงินขอทาน แต่ด้วยความคิดว่า เขามีเงินมีทอง มีทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่า เพราะฉะนั้น เขาก็อยากจะช่วยคนที่ด้อยกว่า แต่จริงๆ แล้วขณะนั้นก็เป็นสภาพจิตอย่างละเอียด ที่ว่าแม้ให้ก็จริง แต่มีความสำคัญตนในขณะที่ให้หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นกุศลจริงๆ ก็คือขณะนั้นไม่มีอกุศลเกิดสลับ แต่ก็เป็นเรื่องที่ถึงมี ก็เป็นเรื่องที่เป็นจริง ทุกอย่างที่เป็นจริง ต้องยอมรับตามความเป็นจริง คือ เปลี่ยนไม่ได้ แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งยังไม่ดับสนิทไม่เกิดอีกเลย
เมื่อมีเหตุปัจจัยที่สภาพธรรมนั้นจะเกิดในระดับใด ก็เกิดขึ้นเป็นไปในระดับนั้น มุทิตา เวลาที่มีผู้ที่ได้ดีมีสุข เราก็พลอยยินดีด้วย แต่ไม่ใช่โลภะ ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าได้ดีมีสุข ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ ทุกอย่างต้องมาจากกุศลกรรม ต้องเป็นผลของกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ถ้าใครได้ ขณะนั้นเราก็รู้ว่ามาจากเหตุ คือกุศลกรรม ก็ยินดีด้วยในผลที่เขาได้รับ แม้แต่ว่าจะเพียงชั่วคราว เพราะว่าทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไป สามารถที่จะรู้ถึงเหตุในอดีตได้ ว่าทำให้เกิดสิ่งที่ดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นผลของกุศล ก็ยินดีด้วย คือไม่ริษยา
อุเบกขา คือ ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะประสบกับสิ่งที่น่ายินดียินร้าย ถ้าเราไม่สามารถที่จะช่วยได้ ก็ไม่เดือดร้อน


