กิเลส
มีความประสงค์ทราบว่า ...
กิเลสมี ๓
๑) . ศีลกุศล สามารถประหาณ วีติกกมกิเลสได้อย่างไร
๒) . สมาธิกุศล สามารถประหาณ ปริยุฏฐานกิเลสได้อย่างไร
๓) . ปัญญาในมรรค สามารถประหาณ อนุสัยกิเลสได้อย่างไร
พร้อมยกตัวอย่างของสภาวะธรรม ทั้ง ๓ ข้อนี้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต มี ๓ ระดับ คือ
กิเลสขั้นหยาบ เราเห็นได้จากการประพฤติทุจริตล่วงศีล เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น แสดงให้ทราบว่า กิเลสนั้นหยาบและมีกำลัง ซึ่งกิเลสขั้นหยาบนี้ ละได้ด้วยกุศลขั้นศีล กล่าวคือ เมื่อรักษาศีล ก็พ้นจากการกระทำที่เป็นทุจริตกรรมต่างๆ ได้
กิเลสที่ไม่ถึงกับล่วงศีลที่ออกมาเป็นกายทุจริต วจีทุจริต เมื่อเกิดแล้วแต่ยังไม่แสดงออกให้รู้ได้ในขณะนั้นๆ เป็นกิเลสขั้นกลาง เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส เช่น ความขุ่นใจ มี แต่ไม่พูด ไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือ โลภะ มี แต่ไม่แสดงออก ก็ไม่มีผู้อื่นรู้ว่ามีโลภะ กิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงานร่วมกับจิต กิเลสขั้นกลางนี้เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตแต่ยังไม่ถึงกับล่วงศีลหรือกระทำทุจริตกรรม กิเลสขั้นกลุ้มรุมจิตใจนี้ ละได้ด้วยการข่มไว้ด้วยกุศลขั้นสมาธิ (การอบรมเจริญสมถภาวนา) ขณะที่องค์ของความสงบเกิดขึ้น ก็สามารถข่มกิเลสนั้นๆ ไว้ได้ เช่น ปีติ ความเอิบอิ่มใจ ก็ข่มโทสะได้ ความตั่งมั่นในอารมณ์ คือ สมาธิหรือเอกัคคตา ก็ข่มความติดข้องยินดีพอใจในกามได้ เป็นต้น
แต่กิเลสขั้นหยาบและกิเลสขั้นกลาง จะเกิดได้ก็เพราะเหตุว่ามีกิเลสขั้นละเอียด คือ อนุสัยกิเลส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าการที่จะดับกิเลสหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท (ละอย่างเด็ดขาด) ได้นั้น ต้องดับอนุสัยกิเลสซึ่งเป็นพืชเชื้อที่เป็นเหตุให้กิเลสขั้นกลางและกิเลสขั้นหยาบเกิดขึ้นได้ ซึ่งกิเลสขั้นละเอียดหรืออนุสัยกิเลสนี้ จะดับได้ด้วยกุศลขั้นที่เป็นการอบรมเจริญวิปัสสนา
จะเห็นได้จริงๆ ว่า บุคคลผู้ที่ยังมากไปด้วยกิเลส ย่อมหวั่นไหวไปด้วยอำนาจของกิเลสประการต่างๆ มีโลภะ โทสะ เป็นต้น กิเลสที่ปรากฏให้รู้ได้ในชีวิตประจำวันก็เป็นกิเลสขั้นกลางกับขั้นหยาบ และที่รู้ว่ายังมีกิเลสขั้นละเอียดอยู่ก็เพราะมีกิเลสขั้นกลาง คือขณะที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต และกิเลสขั้นหยาบคือล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา นั่นเอง, เพราะยังมีกิเลสขั้นละเอียด จึงเป็นเหตุให้มีกิเลสขั้นกลางและกิเลสขั้นหยาบ กิเลสขั้นละเอียดจะหมดไปได้นั้นเมื่อมีการอบรมเจริญปัญญารู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฏตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ เมื่อปัญญารู้แจ้งอริยสัจจธรรม กิเลสขั้นละเอียดก็จะหมดสิ้นไปเป็นสมุจเฉท และหมดไปตามลำดับมรรคด้วย การที่จะดับกิเลสได้นั้น ต้องด้วยการอบรมเจริญปัญญา (วิปัสสนาภาวนา) เท่านั้น ไม่ใช่ด้วยสมถภาวนา เพราะสมถภาวนาเพียงข่มกิเลสไว้ได้ด้วยกำลังแห่งความสงบของจิตเท่านั้น หลังจากนั้นแล้ว กิเลสก็เกิดขึ้นได้อีก
กว่าจะดำเนินไปถึงการดับกิเลสได้นั้น ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ขาดการฟังพระธรรม และจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่เพียงแค่ชาติเดียวหรือสองชาติเท่านั้น ครับ
... ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
อ้างอิงจาก ความคิดเห็น 1 โดย khampan.a
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต มี ๓ ระดับ คือ
กิเลสขั้นหยาบ เราเห็นได้จากการประพฤติทุจริตล่วงศีล เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น แสดงให้ทราบว่า กิเลสนั้นหยาบและมีกำลัง ซึ่งกิเลสขั้นหยาบนี้ ละได้ด้วยกุศลขั้นศีล กล่าวคือ เมื่อรักษาศีล ก็พ้นจากการกระทำที่เป็นทุจริตกรรมต่างๆ ได้
กิเลสที่ไม่ถึงกับล่วงศีลที่ออกมาเป็นกายทุจริต วจีทุจริต เมื่อเกิดแล้วแต่ยังไม่แสดงออกให้รู้ได้ในขณะนั้นๆ เป็นกิเลสขั้นกลาง เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส เช่น ความขุ่นใจ มี แต่ไม่พูด ไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือ โลภะ มี แต่ไม่แสดงออก ก็ไม่มีผู้อื่นรู้ว่ามีโลภะ กิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงานร่วมกับจิต กิเลสขั้นกลางนี้เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตแต่ยังไม่ถึงกับล่วงศีลหรือกระทำทุจริตกรรม กิเลสขั้นกลุ้มรุมจิตใจนี้ ละได้ด้วยการข่มไว้ด้วยกุศลขั้นสมาธิ (การอบรมเจริญสมถภาวนา) ขณะที่องค์ของความสงบเกิดขึ้น ก็สามารถข่มกิเลสนั้นๆ ไว้ได้ เช่น ปีติ ความเอิบอิ่มใจ ก็ข่มโทสะได้ ความตั่งมั่นในอารมณ์ คือ สมาธิหรือเอกัคคตา ก็ข่มความติดข้องยินดีพอใจในกามได้ เป็นต้น
แต่กิเลสขั้นหยาบและกิเลสขั้นกลาง จะเกิดได้ก็เพราะเหตุว่ามีกิเลสขั้นละเอียด คือ อนุสัยกิเลส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าการที่จะดับกิเลสหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท (ละอย่างเด็ดขาด) ได้นั้น ต้องดับอนุสัยกิเลสซึ่งเป็นพืชเชื้อที่เป็นเหตุให้กิเลสขั้นกลางและกิเลสขั้นหยาบเกิดขึ้นได้ ซึ่งกิเลสขั้นละเอียดหรืออนุสัยกิเลสนี้ จะดับได้ด้วยกุศลขั้นที่เป็นการอบรมเจริญวิปัสสนาจะเห็นได้จริงๆ ว่า บุคคลผู้ที่ยังมากไปด้วยกิเลส ย่อมหวั่นไหวไปด้วยอำนาจของกิเลสประการต่างๆ มีโลภะ โทสะ เป็นต้น กิเลสที่ปรากฏให้รู้ได้ในชีวิตประจำวันก็เป็นกิเลสขั้นกลางกับขั้นหยาบ และที่รู้ว่ายังมีกิเลสขั้นละเอียดอยู่ก็เพราะมีกิเลสขั้นกลาง คือขณะที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต และกิเลสขั้นหยาบคือล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา นั่นเอง, เพราะยังมีกิเลสขั้นละเอียด จึงเป็นเหตุให้มีกิเลสขั้นกลางและกิเลสขั้นหยาบ กิเลสขั้นละเอียดจะหมดไปได้นั้นเมื่อมีการอบรมเจริญปัญญารู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฏตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ เมื่อปัญญารู้แจ้งอริยสัจจธรรม กิเลสขั้นละเอียดก็จะหมดสิ้นไปเป็นสมุจเฉท และหมดไปตามลำดับมรรคด้วย การที่จะดับกิเลสได้นั้น ต้องด้วยการอบรมเจริญปัญญา (วิปัสสนาภาวนา) เท่านั้น ไม่ใช่ด้วยสมถภาวนา เพราะสมถภาวนาเพียงข่มกิเลสไว้ได้ด้วยกำลังแห่งความสงบของจิตเท่านั้น หลังจากนั้นแล้ว กิเลสก็เกิดขึ้นได้อีก
กว่าจะดำเนินไปถึงการดับกิเลสได้นั้น ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ขาดการฟังพระธรรม และจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่เพียงแค่ชาติเดียวหรือสองชาติเท่านั้น ครับ
... ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
สาธุธรรมคุณโยมอาจารย์
เจริญพร ... สาธุครับ😇

