มีจริงเมื่อปรากฏว่ามี

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ หน้าที่ 470
ธาตุสูตร
(ว่าด้วยความต่างแห่งธาตุ)
[๓๓๓] พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้ง หลาย แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความต่างแห่งธาตุแก่เธอ ทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงตั้งใจฟัง จงกระทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าวบัดนี้ ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๓๓๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความต่างแห่ง ธาตุเป็นไฉน? คือ จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ โสตธาตุ สัททธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานธาตุ คันธธาตุ ฆานวิญญาณธาตุชิวหาธาตุ รสธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายธาตุ โผฏฐัพพธาตุ กายวิญญาณธาตุ มโนธาตุ ธรรมธาตุ มโนวิญญาณธาตุ นี้เราเรียกว่า ความต่างแห่งธาตุ.
จบธาตุสูตรที่ ๑.
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 206
๘. นานาธาตุสูตร
ว่าด้วยการรู้ธาตุต่างๆ
[๑๒๙๓] ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมรู้ธาตุเป็นอเนกและโลกธาตุต่างๆ ตามความเป็นจริง เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
จบนานาธาตุสูตรที่ ๘
อ.วิชัย: ก็ฟังที่ท่านอาจารย์กล่าว ก็ไตร่ตรองตามอย่างที่กระผมได้เรียนท่านอาจารย์ว่า ธรรมะ เช่นได้ยิน เป็นต้น ลักษณะของได้ยิน ก็เป็นขั้นคิดไตร่ตรองว่า ลักษณะของ ธาตุ คือได้ยิน จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยครับ ก็ ใส่ใจพิจารณาในลักษณะของธาตุรู้ที่กำลังได้ยินเสียง ซึ่งก็ต่างกับเห็น เป็นต้นครับ ก็เป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ครับ ไม่ใช่เพียงได้ยินคำว่า ธาตุ แล้วก็ตอบตามคำที่ท่านแสดงเอาไว้ แต่ว่า ที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ คือ ไม่ใช่เพียงจำคำ และพูดตาม ในสิ่งที่ท่านกล่าว ท่านก็กล่าวตามปัญญาที่ท่านได้รู้อย่างนั้นครับ
แต่ว่า สำหรับผู้ที่อ่าน หรือสำหรับผู้ที่ศึกษาแล้ว การที่จะมีความเข้าใจตรงนั้นจริงๆ ก็ต้องละเอียดที่จะรู้ว่า ตัวจริงของเขาโดยจะใช้คำไหนก็ได้ แต่ให้รู้ว่า เป็นลักษณะของสิ่งนั้นจริงๆ ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เพียงเท่านี้ ยังไม่ต้องกระโดด หรือก้าวไปไกลกว่านี้ แค่ตรงนี้เพิ่มความเข้าใจความลึกซึ้งขึ้นอีกได้ไหม ทีละเล็กๆ ที่มั่นคงในความเข้าใจ
เดี๋ยวนี้รู้จักแล้วว่า ธรรมะคืออะไรใช่ไหม?
อ.วิชัย: ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วรู้ด้วยว่า สิ่งที่มีจริงๆ ที่มีจริงนั้นเป็นธาตุที่เปลี่ยนไม่ได้ ธาตุ คือความเป็นสิ่งนั้น จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย จึงใช้คำว่า ธาตุ อันนี้ไม่สวสัยแล้วตามขั้นตามลำดับทีละน้อยๆ จนมั่นคง ไม่ว่าได้ยินอะไรที่มีจริงเป็นธรรมะ และเป็นธาตุที่เปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนความเป็นจริงของลักษณะนั้นไม่ได้เลย
อ.วิชัย: ครับ ขั้นฟังไม่สงสัยครับ
ท่านอาจารย์: ขั้นฟังไม่สงสัย ต่อไปอีกหน่อยไม่ต้องยาวไกลเหมือนเมื่อกี้ ทีละนิดทีละหน่อย เพราะฉะนั้น พูดถึง ได้ยิน มีจริง ไม่มีใครบอกว่าไม่มี แต่เมื่อไหร่? เมื่อได้ยินเกิดขึ้น จึงมีได้ยิน
ค่อยๆ มั่นคงในความจริง ไม่ต้องไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น นี่คือหนึ่งขณะของโลก รวมกันจนไม่รู้เลยว่า หนึ่งขณะของโลกนั้นโลกอะไร? ธาตุอะไร? ธรรมะอะไร? รวมความไปหมดเป็นเรื่องเป็นราวเป็นหน้า กี่หน้า หน้านี้ไปหน้านี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ แผนกนี้ ปริเฉทนี้ พูดตามหมด แต่ว่าความเข้าใจที่จะมั่นคงต่างหาก ที่เกิดชาติไหนก็สามารถเมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจในความเป็นอย่างนั้น เพราะว่าสะสมมาจนกระทั่งไม่มีความสงสัย แต่ไม่ใช่ตามหมดที่บรรยายไว้ ที่บอกไว้ว่า ธรรมะคืออะไร ธาตุคืออะไร ไม่ใช่ให้พูดตาม ไม่ใช่ให้คิดตามเคร่าๆ แต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งมีความมั่นคงว่า มีจริงเมื่อไหร่ เมื่อเกิดปรากฏว่ามี และใครก็เปลี่ยนลักษณะของสิ่งที่มีนั้นที่เกิดเป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ มั่นคงไหม?
อ.วิชัย: ครับ มั่นคงขึ้นอีกครับ อย่างที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจก็มั่นคงในขณะที่ไตร่ตรองแล้วเข้าใจ แต่ปกติก็จะหลงลืมเสมอครับ และก็รู้ว่า ความเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ บางครั้งก็ดูเหมือนกับเข้าใจบ้างแล้วครับ แต่ว่าความจริงความไม่รู้ซึ่งปกปิดได้ยิน เดี๋ยวก็หลงลืม เดี๋ยวก็ไม่เข้าใจ เดี๋ยวก็ยึดถือว่า ได้ยินเป็นเราเสมอเลยครับ
ท่านอาจารย์: ทั้งหมดแต่ละคำที่คุณวิชัยพูด ยกออกมาเป็นแต่ละธาตุได้หมดเลยใช่ไหม?
อ.วิชัย: ละเอียดลงไปอีกครับ
ท่านอาจารย์: แน่นอนที่สุด นี่คือศึกษาธรรมะ ไม่ใช่ศึกษาอย่างอื่นเลย ศึกษาเพื่อเข้าใจธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้ง แม้มีเดี๋ยวนี้ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี ทุกชาติแสนโกฏกัปป์ก็ไม่รู้ เพราะเผิน แม้ว่าไม่เคยฟัง
ได้ฟังแล้วก็พูดตามคิดตามเท่านั้นเอง หารู้ไม่ว่า ต้องเข้าใจความจริงของแต่ละคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ละเอียดขึ้นๆ ๆ ๆ จนมั่นคงในความเป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งประมาทไม่ได้เลย การศึกษาธรรมะ ก็คือว่า ไม่ใช่รู้ อ่านไปมีเท่าไหร่ จิตเท่าไหร่ เจตสิกเท่าไหร่ จิตนี้เกิดก่อน และจิตที่เกิดต่อเป็นอย่างไร จำไว้หมด!! แต่แล้วก็ลืมหมด!!
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า ธาตุ คำเดียว หมายความถึงสิ่งที่มีจริงที่เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้
เพราะฉะนั้น ธรรมะทั้งหมดก็จำแนกเป็นธาตุประเภทต่างๆ เห็นไหม มันมากมายมหาศาล เพราะเหตุว่าเกิดแล้วก็ดับ ไม่กลับมาอีกเลยสักขณะเดียว แล้วมันจะมากมายสักเท่าไหร่ แม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เห็นเมื่อกี้นี้ ไม่ใช่เห็นเมื่อวานนี้ ไม่ใช่เห็นเมื่อปีก่อน เดือนก่อนทั้งสิ้น แสดงการเป็นสิ่งที่มีจริงช่วงขณะชั่วคราวแสนสั้น เพราะเหตุว่า เดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีการเกิด มีไม่ได้ เกิดแล้วดับแน่นอน เพราะมีปัจจัยทำให้เกิดจึงเกิด เกิดแล้วดับ
เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทรงพระมหากรุณาแสดงถึง ๔๕ พรรษา แต่ละคำไม่ใช่ฟังแล้ว จำได้ จบ เรียนแล้วสอบได้ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ แต่ละคำเข้าถึงในความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ จึงตรัสรู้ความจริง
แล้วเราอยู่ดีๆ เก่งอย่างไรหนักหนา เพียงแค่ฟังแล้วจะไปรู้ได้หรือ? บารมีอยู่ไหน? เพราะความรู้มีหลายระดับ เพียงแค่คำแรกก็ต้องชัดเจนสิ่งที่มีจริงในอีกภาษาหนึ่ง ธรรมะ
ขอเชิญฟังได้ที่ ..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ
พูดตามหมด
ค่อยๆ มั่นคงในความจริง ไม่ต้องไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น นี่คือหนึ่งขณะของโลก รวมกันจนไม่รู้เลยว่า หนึ่งขณะของโลกนั้นโลกอะไร ธาตุอะไร ธรรมอะไร รวมความไปหมดเป็นเรื่องเป็นราว เป็นหน้า กี่หน้า หน้านี้ไปหน้านี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ แผนกนี้ ปริเฉทนี้ พูดตามหมด
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ


