อยู่ในโลกของบัญญัติตั้งแต่เกิดจนตาย

 
เมตตา
วันที่  20 ต.ค. 2568
หมายเลข  51225
อ่าน  289

[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 181 -183

บัญญัติ ๖ นอกพระบาลี

ก็ว่าโดยนัยแห่งอรรถกถาบาลีมุตตกะ คือนอกจากพระบาลี บัญญัติ ๖ อื่นอีก คือ

๑. วิชชมานบัญญัติ

๒. อวิชซมานบัญญัติ

๓. วิชชมาเนน อวิชชมานบัญญัติ

๔. อวิชชนาเนน วิชชมานบัญญัติ

๕. วิชชมาเนน วิชชมานบัญญัติ

๖. อวิชชมาเนน อวิชชมานบัญญัติ.

บรรดาบัญญัติ ๖ เหล่านั้น การบัญญัติธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล อันเป็นของมีอยู่ เป็นอยู่ เกิดตามความเป็นจริงนี้แหละ ด้วยอำนาจแห่งสัจฉิ- กัตถะและปรมัตถะ ชื่อว่า วิชชมานบัญญัติ.

อนึ่ง การบัญญัติคำทั้งหลายมีคำว่า หญิง ชาย เป็นต้น อันล้วน แต่คำเป็นภาษาของชาวโลก อันไม่มีอยู่ (โดยแท้จริง) ชื่อว่า อวิชชมานบัญญัติ.


อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา - หน้าที่ 389

ปญฺญาปิยตฺตา ความว่า เพราะเป็นอรรถที่จะพึงรู้โดยประการนั้นๆ ฯ ด้วยคำอันเป็นกัมมสาธนะนี้ ท่านอาจารย์กล่าวอรรถบัญญัติ กล่าวคือ อุปาทาบัญญัติ อันเป็นสมมติสัจจะ ซึ่งต่างโดยเป็นความประชุมและ ความสืบต่อเป็นต้น แห่งธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น และความกำหนดพิเศษเป็นต้น ฯ แท้จริงอรรถบัญญัตินั้นบัณฑิตย่อมรู้ได้ด้วยนามบัญญัติ ฯ บทว่า ปญฺญาปนโต คือ เพราะรู้อรรถบัญญัติโดยประการทั้งหลาย ฯ จริงอยู่ ด้วยคำที่เป็นกัตตุสาธนะนี้ ท่านกล่าวนามบัญญัติ คือการกล่าวอรรถทั้งหลายอันได้นามว่าบัญญัติ เพราะอรรถว่า ให้รู้ (ความ) ได้ ฯ


อ.กุลวิไล: ท่านอาจารย์ก็ย้ำอยู่เสมอว่า มั่นคงในความเป็นจริง ทั้งหมดเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น บัญญัติก็ไม่มีจริง แต่ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม บัญญัติก็มีไม่ได้ เพราะว่าถือในอาการเกิดดับสืบต่อของนามธรรม และรูปธรรม จนรู้ได้ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งจากที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ และดิฉันก็จำได้ว่า ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เคยให้ความเข้าใจว่า บัญญัติมีเพราะคิด นี่ก็เป็นความจริงค่ะ ถ้าไม่คิดถึงบ้าน ถึงรถ ถึงเงิน ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรปรากฏ แต่ถ้ามีปรากฏแล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย ก็เพราะว่า คิดนึกทางใจ เพราะฉะนั้น ก็มีบัญญัติเป็นอารมณ์

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง มีคุณฮังไหม? ก็มีเพราะคิด ถ้าคิดถึงคุณฮังก็ต้องเป็นบัญญัติ เป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่วันนั้นท่านอาจารย์กล่าวว่า มีเพราะเกิด ซึ่งอันนี้ก็ย้ำให้เห็นว่า ก็ต้องเป็นธรรมะนั้นเอง ต้องมีสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจึงยึดถือว่า เป็นคุณฮัง แต่ขณะที่คิดก็เป็นธรรมะ

ก็กราบเรียนท่านอาจารย์ เป็นส่วนหนึ่งที่ดิฉันขอสอบทานกับท่านอาจารย์ เพราะว่าความเข้าใจที่ต้องมั่นคงในความจริง ทั้งหมดเป็นธรรมะเป็นอนัตตา ไม่มีอัตตา แม้แต่บัญญัติก็ไม่มีจริง แล้วก็ไม่ใช่อนัตตาด้วยค่ะท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: บัญญัติมีไหม?

อ.กุลวิไล: ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์: เราต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ เข้าใจความต่างความหลากหลาย มิเช่นนั้น ก็สับสน เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง บัญญัติมีไหม?

อ.กุลวิไล: ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์: ท่านผู้อื่นคิดอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: บัญญัติมีครับ แต่ว่าความละเอียดต้องได้สนทนาต่อไปครับ

ท่านอาจารย์: เพื่อจะได้ไม่เข้าใจผิด ต้องตรง ต้องรู้ว่าบัญญัติคืออะไร? ตั้งต้นเลย บัญญัติคืออะไร? บัญญัติมีเท่าไหร่? อะไรเป็นบัญญัติบ้าง? หลากหลายไหม? ไม่ใช่ว่าอะไรๆ ก็เป็นบัญญัติ หรืออะไรๆ ก็ไม่มี ทั้งหมดต้องเป็นเรื่องของความเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริงว่า อะไรเป็นอะไร

เพียงแค่คำถามว่า บัญญัติมีไหม? ข้อความในพระไตรปิฎก มีคำว่า บัญญัติ ไหม?

อ.ธีรพันธ์: มีครับ มีจริงก็มี ไม่มีจริงก็มีครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ช่วยกรุณาพูดถึง บัญญัติ เท่าที่เคยรู้จักข้อความในพระไตรปิฎก

อ.ธีรพันธ์: บัญญัติมีครับ แต่มีในลักษณะที่เป็นบัญญัติสิ่งที่มีจริง และก็บัญญัติในสิ่งที่ไม่มีจริงครับ แต่ความละเอียดจะมีหลายข้อครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตั้งต้นว่า บัญญัติคืออะไร? ปญฺญตฺติ คืออะไร? ถ้าไม่รู้ตอนต้น ตอนปลายก็เลอะเทอะไม่รู้อะไร

อ.กุลวิไล: ให้รู้โดยอาการนั้นๆ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คนอื่นว่าอย่างไร? ร่วมกันสนทนา

อ.วิชัย: อย่างข้อความใน ปุคคลบัญญัติ ท่านก็แสดงบัญญัติ ๖ อย่าง อย่างข้อความที่แสดงว่า การบัญญัติธรรมที่เป็นกุศล และอกุศล อันเป็นของมีอยู่ เป็นอยู่ เกิดตามความเป็นจริงนี่แหละ ด้วยอำนาจสัจฉิ - กัตถะ และปรมัตถะ ชื่อว่า วิชชมานบัญญัติ เป็นการบัญญัติสิ่งที่มีจริงครับ อนึ่ง การบัญญัติคำทั้งหลายมีคำว่า หญิง ชาย เป็นต้น อันล้วนแต่คำเป็นภาษาของชาวโลกอันไม่มีอยู่ ชื่อว่า อวิชชมานบัญญัติ นี่ก็ยกตัวอย่างครับ

ท่านอาจารย์: เช่น คำอะไร? ตัวอย่าง

อ.วิชัย: อันนี้ คือกล่าวเบื้องต้น ๒ บัญญัติครับ หลังจากนั้นก็จะมี วิ ชชมาเนน อวิชชมานบัญญัติ ก็คือเป็นการบัญญัติกับสิ่งที่มีจริงกับไม่มีจริงบ้างครับ

ท่านอาจารย์: เอาให้ครบดีไหม จะได้ไม่สงสัย

อ.วิชัย: แม้บัญญัติคำว่า สัจจะที่ ๕ เป็นต้น หรือคำว่า บุรุษตามปกติของพวกเดียรถีย์ ซึ่งสักว่าเป็นถ้อยคำ และวัตถุอันค้นหามิได้โดยประการทั้งปวงทีเดียว นี้ชื่อว่า อวิชชมานบัญญัติ

ท่านอาจารย์: แปลค่ะ

อ.วิชัย: อ.คำปั่น ช่วยแปลจะได้ถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: คุณคำปั่นกล่าวถึงบัญญัติทั้งหมด และคำแปลทั้งหมดดีไหม? เราจะได้ฟังคำแปล สงสัยหรือว่าข้องใจจะได้สนทนาในคำนั้นๆ ทีละ ๑ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ละเอียด แล้วก็ข้ามๆ ไปเหมือนคนรู้จักบัญญัติ

อ.คำปั่น: ในความหมายครับ วิชชมานบัญญัติ นี่คือประการแรก

ท่านอาจารย์: บัญญัติ คืออะไรก่อน

อ.คำปั่น: บัญญัติ คือให้รู้ได้โดยประการนั้นๆ ครับ บัญญัติ มี ๖ อย่าง อย่างแรก คือ วิชชมานบัญญัติ บัญญัติในสิ่งที่มีอยู่จริงๆ อันนี้คือความหมายครับ อย่างเช่นที่กล่าวถึงบัญญัติในเรื่องของธรรมะที่เป็นกุศล ธรรมะที่เป็นอกุศลที่มีอยู่จริงๆ โดยอรรถะที่เป็นลักษณะที่แท้จริงครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อมีสิ่งที่มีจริง จะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่มีบัญญัติ ถูกต้องไหม?

อ.คำปั่น: ถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงมีบัญญัติเพื่อที่จะให้รู้ว่า สิ่งที่กล่าวถึงที่ว่ามีจริงนั้น ความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร

เพราะฉะนั้น นี่เป็นสัททบัญญัติ หรือเปล่า?

อ.คำปั่น: โดยเสียง โดยคำ ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องกล่าวตั้งแต่ต้นเลยว่า มีบัญญัติอะไรบ้าง แล้วค่อยมาถึงความละเอียดของบัญญัติต่างๆ

เพราะฉะนั้น ทางตามีบัญญัติไหม ยังไม่มีเสียงเลย มีบัญญัติไหม? ท่านที่ศึกษามาแล้วทั้งหมด จะแยกรู้ไหมว่า บัญญัติโดยประการใดๆ มีอะไรบ้าง?

อ.กุลวิไล: อรรถบัญญัติค่ะ

ท่านอาจารย์: ค่อยๆ นึกถึง ค่อยๆ รู้

อ.คำปั่น: โดยไม่มีเสียงครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น บัญญัติ มีจริงไหม?

อ.ธีรพันธ์: ไม่มีครับ มีใช้ขานคำเรียก บัญญัติเรียกให้รู้

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่เรียกมีไหม?

อ.ธนากร: มีครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็เห็นแล้วใช่ไหมว่า บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม เริ่มต้นเลยถูกต้องไหม?

อ.วิชัย: ถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงปรากฏเมื่อจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่เห็นบัญญัติใช่ไหม?

อ.วิชัย: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เห็นสิ่งที่กระทบตา เฉพาะสิ่งที่กระทบตา อยู่ไหน? เล็กแค่ไหน?

อ.วิชัย: เล็กน้อยมากครับ แล้วก็เป็นไปอย่างรวดเร็วมากครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงเริ่มเข้าใจความจริงซึ่งเป็นปรมัตถธรรม เกิดดับสืบต่อรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่สามารถจะรู้ได้เพียง ๑ แค่ไหนที่กระทบตา ๑ ใช่ไหม?

อ.วิชัย: น้อยมากครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อปรากฏสืบต่อกันเป็นนิมิตสิ่งหนึ่งสิ่งใด อาการที่ปรากฏ ยาว สั้น แคบ กว้าง สูง ต่ำ ขณะนั้นก็เป็นนิมิตของสิ่งที่เกิดดับใช่ไหม?

อ.วิชัย: ใช่ครับ เพราะสภาพธรรมเหล่านั้นเกิดดับอย่างรวดเร็วมากครับ แต่ปรากฏโดยความเป็นนิมิตของสิ่งนั้นครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าสิ่งที่ไม่ได้เกิดดับ มีนิมิตไหม?

อ.วิชัย: ไม่มีครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงค่อยๆ เข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง มีตำรากางให้อ่านให้รู้ว่า คำนี้หมายความว่าอย่างนั้น แล้วเราก็พูดถึงแต่ชื่อ เรื่องราว แต่ที่จริงแล้ว ทุกคำ มีจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจถูกต้องในความไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่มีจริง แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นคนเป็นสัตว์เป็นอะไรต่างๆ เป็นเสียงเป็นเรื่องราวต่างๆ ขณะนั้นอะไรจริง? ถ้าไม่มีการเกิดดับสืบต่อ จะมีนิมิตไหม? เมื่อไม่มีนิมิตจะปรากฏให้รู้ได้ไหมว่า อะไร?

เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจแม้แต่ว่า บัญญัติต่างกับปรมัตถ์อย่างไร? ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม ไม่มีบัญญัติ แต่ถึงแม้ไม่มีเสียง แต่การเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ว่า ต่างกับนิมิตอื่นเป็นอย่างไร หมายรู้ได้โดยอาการนั้นๆ นั่นคือบัญญัติจากทางตาที่เห็น ไม่ต้องพูดอะไรเลยสักคำ มีบัญญัติไหม?

อ.วิชัย: มีครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของปรมัตถ์ หรืออยู่ในโลกของบัญญัติ?

อ.วิชัย: ก็มากด้วยความคิดครับ อย่างแว่นตา ปากกาก็คิดทันที ไม่ต้องเรียกชื่อก็หยิบถูกครับว่าอันนั้นคืออะไรครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ในโลกของปรมัตถ์ เพราะไม่รู้จัก แต่อยู่ในโลกของบัญญัติตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นอัตตาหมด

บัญญัติในลักษณะจริงๆ คือสภาวะที่เกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นนิมิตให้รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ทางตา และเสียงก็เสียงต่างๆ สูงๆ ต่ำๆ ภาษาต่างๆ รู้ได้โดยนิมิตของเสียงซึ่งสั้น ละเอียด เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นสัณฐานของคำแต่ละคำ ซึ่งบางเสียงออกเสียงยากมากใช่ไหม?

อ.วิชัย: ใช่ครับ บางภาษาก็ออกยากครับ

ท่านอาจารย์: ค่อยๆ เริ่มรู้ความจริงว่า นี่คือโลก นี่คือโลกะ นี่คือสิ่งที่มีจริง ถ้าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่มี โลกไม่มี อะไรก็ไม่มีทั้งหมดทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ความจริงว่า โลกคือสิ่งที่เกิดดับ แต่เพราะไม่รู้ แล้วก็ปรากฏเป็นนิมิตไม่ว่าทางไหนก็ตาม จึงทำให้หมายรู้ในนิมิตนั้นๆ ว่า สิ่งหนึ่ง เป็นอัตตาไปหมดทุกชาติ บัญญัติหรือเปล่า?

อ.ธีรพันธ์: บัญญัติครับ

ท่านอาจารย์: เพราะหมายรู้ได้โดยอาการนั้นๆ ที่ปรากฏ ไม่ว่าจะทางหนึ่งทางใด

เพราะฉะนั้น บัญญัติมีจริงไหม หรือไม่มีเลย?

อ.ธีรพันธ์: มี แต่หมายถึงอะไรครับ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีนั่นแหละเป็นธรรมะ จึงมีบัญญัติ ธรรมะมี มีบัญญัติ แต่บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม ผิดหรือถูกที่เข้าใจอย่างนี้? ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะได้ยินเรื่องราวของบัญญัติโดยประการใดทั้งสิ้ย

ขอเชิญอ่านได้ที่ ..

อรรถบัญญัติ [อภิธัมมัตถสังคหบาลี และอภิธัมมัตถวิภาวีนีฎีกา]

ทรงแสดงการกำหนดบัญญัติธรรม [ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ]

นามบัญญัติมี ๖ อย่าง [ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ]

ขอเชิญฟังได้ที่ ..

ความต่างกันของปรมัตถธรรม กับ บัญญัติธรรม

สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ คณะอาจารย์ทุกท่าน ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ต.ค. 2568

เมื่อมีสิ่งที่มีจริง จะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่มีบัญญัติ ถูกต้องไหม

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ