เครื่องกั้นตัณหาและกิเลส
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีสติเป็นเครื่องกั้น มีปัญญาเป็นเครื่องปิดกั้น [อชิตมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑]
เพราะเหตุว่าถ้าสติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามรูปแล้ว ตัณหาก็ย่อมเกิดขึ้น ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ ไม่จำกัดเจาะจงว่า ให้เจริญสติปัฏฐานหนึ่งสติปัฏฐานใด เพราะจะต้องรู้ชัดทั้งนามและรูป ไม่ใช่ว่าจะรู้แต่เพียงรูป หรือว่าไม่ใช่ว่าจะรู้แต่เพียงนาม จะต้องรู้ชัด รู้ทั่วจึงจะละคลายได้
รับฟัง ...
ธรรมใดเป็นเครื่องกั้นตัณหาและกิเลส
ซึ่งท่านอชิตะ ก็ได้กราบทูลถามต่อไปว่า
จะมีธรรมใด เป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้นกระแสของตัณหาและกิเลสทั้งหลาย
ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสว่า
มีสติเป็นเครื่องกั้น มีปัญญาเป็นเครื่องปิดกั้น
เพราะเหตุว่าถ้าสติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามรูปแล้ว ตัณหาก็ย่อมเกิดขึ้น ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ
พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านอชิตะต่อไปว่า
บทว่า สโต ในอุเทศว่า สโตภิกฺขุปริพฺพเซ ความว่า ภิกษุมีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ มีสติเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในกาย ๑ มีสติเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานในเวทนาทั้งหลาย ๑ มีสติเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานในจิต ๑ มีสติเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานในธรรมทั้งหลาย ๑
ไม่เคยทรงแสดงจำกัดเจาะจงว่า ให้เจริญสติปัฏฐานหนึ่งสติปัฏฐานใด เพราะจะต้องรู้ชัดทั้งนามและรูป ไม่ใช่ว่าจะรู้แต่เพียงรูป หรือว่าไม่ใช่ว่าจะรู้แต่เพียงนาม จะต้องรู้ชัด รู้ทั่วจึงจะละคลายได้ เพราะฉะนั้น จะต้องเจริญทั้งกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงถึง ภิกษุมีสติด้วยเหตุ ๔ ประการแม้อื่นอีก คือ ที่จะให้ระลึกเป็นไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่
ภิกษุมีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ แม้อื่นอีก คือ มีสติ เพราะเว้นความเป็นผู้ไม่มีสติ ๑ เพราะนำธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความทำสติ ๑ เพราะละธรรมเป็นข้าศึกแก่สติ ๑เพราะไม่หลงลืมธรรมอันเป็นนิมิตแห่งสติ ๑
ธรรมอันเป็นนิมิตแห่งสติ คือ สิ่งที่ทำให้สติระลึก ไม่หลงลืมในธรรมนั้น อย่างเรื่องของกายมีอะไรบ้าง ลมหายใจก็เป็นกาย เวลาใดที่ลมหายใจปรากฏ วิ่งเหนื่อยๆ หรือกระทบลมหายใจของบุคคลหนึ่งบุคคลใด ก็เป็นสิ่งที่จะทำให้สติระลึกรู้ได้ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่หลงลืมในธรรมที่เป็นนิมิต หรือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้สติระลึกรู้ คือกาย คือเวทนา คือจิต คือธรรมแล้ว ในขณะนั้นก็จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่หลงลืมสติได้
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงต่อไปว่า
ภิกษุมีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ แม้อื่นอีก คือ มีสติ เพราะความเป็นผู้ประกอบด้วยสติ ๑ เพราะถึงความชำนาญด้วยสติ ๑ เพราะความเป็นผู้คล่องแคล่วด้วยสติ ๑ เพราะไม่กลับลงจากสติ ๑
ไม่คิดที่จะออก หรือไม่คิดที่จะเลิกเจริญสติ เข้าไปแล้วไม่มีออกมา คือ ไม่กลับลงจากสติ ไม่ใช่เป็นผู้ที่เข้าแล้วก็ออก ลงเสียทีหนึ่งไม่เจริญสติ ไม่คิดที่จะเลิกเจริญสติ ความหมายของคำที่ว่า เพราะไม่กลับลงจากสติ คือ เป็นผู้ที่เจริญสติไปเรื่อยๆ
พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า
ภิกษุมีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ แม้อื่นอีก คือ มีสติ เพราะความเป็นผู้มีสติเสมอ ๑ เพราะความเป็นผู้สงบ ๑ เพราะความเป็นผู้ระงับ ๑ เพราะความเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของผู้สงบ ๑
เพราะฉะนั้น ที่ว่าภิกษุมีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ แม้อื่นอีก คือ มีสติเพราะความเป็นผู้มีสติเสมอ ๑ มีเข้ามีออกอะไรไหม มีสติเพราะความเป็นผู้มีสติเสมอ ๑ เพราะความเป็นผู้สงบ สงบจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต อกุศลกรรมต่างๆ เพราะความเป็นผู้ระงับจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต แล้วแต่ว่าจะระงับด้วยการที่จิตสงบเป็นสมาธิ หรือว่าระงับด้วยการที่เป็นผู้ที่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป และเพราะความเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของผู้สงบ
ข้อความต่อไปมีว่า
มีสติ เพราะพุทธานุสติ เพราะธัมมานุสติ เพราะสังฆานุสติ เพราะศีลานุสติ เพราะจาคานุสติ เพราะเทวตานุสติ เพราะอานาปานสติ เพราะมรณานุสติ เพราะกายคตานุสติ เพราะอุปสมานุสติ
และอื่นๆ ต่อไป
จำกัดอะไรหรือไม่ ไม่ว่าผู้นั้นจะมีสติระลึกในพระพุทธคุณ ในพระธรรมคุณ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และสติก็ระลึกรู้ลักษณะของนามของรูปในขณะนั้น เป็นสติปัฏฐานได้ ไม่ใช่จำกัดว่าอย่าระลึกถึงพระพุทธคุณ อย่าระลึกถึงศีล อย่าระลึกถึงอานาปาน คือ ลมหายใจ หรืออะไรอย่างนั้น
ไม่มีสิ่งใดที่เป็นกฎเกณฑ์ที่จะห้ามอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เมื่อผู้ใดมีปกติ มีปัจจัยที่จะให้เป็นไปอย่างไร มีสติเกิดขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าในขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่เป็นผู้ที่สะสมให้พุทธานุสติเกิดขึ้น และเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานด้วย ถึงแม้ว่าในขณะที่กำลังระลึกถึงพระพุทธคุณ สติก็ระลึกรู้ว่าเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งได้
ที่กล่าวถึงสติ ก็เพราะเหตุว่ามักจะมีผู้ที่ปนเรื่องของสมาธิกับสติ ในมหาสติปัฏฐานได้กล่าวถึงสติเป็นประธานว่า ถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้ว ปัญญาก็รู้ชัดในสภาพธรรมนั้นไม่ได้ และสติก็เป็นมรรคองค์หนึ่งในมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงองค์เดียว
ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป ก็มีสัมมาวายามะ มีความเพียรชอบ ไม่ใช่ไปเพียรทำอย่างอื่น ขณะที่ระลึกก็เป็นเพียรรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ มีสัมมาวายามะเกิดร่วมด้วย มีสัมมาสมาธิซึ่งได้แก่เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง แต่ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ สมาธิก็ตั้งมั่นในอารมณ์นั้นเป็นสัมมาสมาธิ [ตอนที่ 127]
เปิดฟัง ...

ไม่มีสิ่งใดที่เป็นกฎเกณฑ์ที่จะห้ามอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เมื่อผู้ใดมีปกติ มีปัจจัยที่จะให้เป็นไปอย่างไร มีสติเกิดขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าในขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่เป็นผู้ที่สะสมให้พุทธานุสติเกิดขึ้น และเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานด้วย ถึงแม้ว่าในขณะที่กำลังระลึกถึงพระพุทธคุณ สติก็ระลึกรู้ว่าเป็นนามธรรมชนิดหนึ่งได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ



