ความอดทน ความไม่โกรธ
สะสมขันติ ความอดทน ความไม่โกรธ ซึ่งถ้าได้สะสมมากๆ จะอดทนได้ต่อสถานการณ์ทุกอย่าง แต่ต้องเป็นผู้ที่เคยสะสมมามาก ความอดทน คือ ความไม่โกรธ ความไม่โลภ ความไม่เดือดร้อน ต้องอดทน ทั้งที่จะไม่เกิดโลภะและที่จะไม่เกิดโทสะ การสะสมความไม่โกรธซึ่งเป็นขันติ สามารถที่จะไม่โกรธได้ทุกสถานการณ์ ซึ่งคงจะเป็นอีกนานแสนนานของแต่ละชีวิตของแต่ละท่าน
รับฟัง ...
สำหรับท่านอื่นที่มีอัธยาศัยต่างกับอตุลอุบาสก คือ สะสมขันติ ความอดทน ความไม่โกรธ ซึ่งถ้าได้สะสมมากๆ จะอดทนได้ต่อสถานการณ์ทุกอย่าง แต่ต้องเป็น ผู้ที่เคยสะสมมามาก
ข้อความใน อรรถกถามังคลสูตร มีว่า
ความอดทน ๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ การเห็นสมณะ ๑ การสนทนาธรรม ๑ กรรม ๔ อย่าง มีความอดทนเป็นต้นนี้ เป็นมงคลอันสูงสุด
ความอดทน คือ ความไม่โกรธ ความไม่โลภ ความไม่เดือดร้อน ต้องอดทน ทั้งที่จะไม่เกิดโลภะและที่จะไม่เกิดโทสะ
คาถาว่าด้วยความอดทนมีว่า
ภิกษุผู้ประกอบด้วยความอดทนคือความอดกลั้นใด ย่อมเป็นผู้ไม่มีอาการ ผิดแปลก เป็นประหนึ่งว่าไม่ได้ยิน และเป็นประหนึ่งว่าไม่เห็นบุคคลผู้ด่าอยู่ ด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ หรือผู้เบียดเบียนอยู่ด้วยการฆ่าและการจองจำเป็นต้น ดุจขันติวาทีดาบสฉะนั้น หรือย่อมทำไว้ในใจโดยความเป็นผู้เจริญ เพราะความไม่มีความผิดยิ่งไปกว่านั้น ดุจท่านพระปุณณเถระฉะนั้น
ความอดทน คือ ความอดกลั้นนั้น ชื่อว่าขันติ
เคยเป็นอย่างนี้ไหม ไม่มีอาการผิดแปลก เป็นประหนึ่งว่าไม่ได้ยิน และเป็นประหนึ่งว่าไม่เห็นบุคคลผู้ด่าอยู่ หรือว่าผู้เบียดเบียนอยู่ด้วยการฆ่าและการจองจำ เป็นต้น นี่คือลักษณะของอโทสเจตสิก
เรื่องขันติวาทีดาบสมีว่า
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์ชื่อกุณฑะ ในกรุงพาราณสี บวชเป็นดาบสอยู่ในหิมวันต์ประเทศเป็นเวลานาน เพื่อจะเสพของเค็มและของเปรี้ยวจึงไปสู่กรุงพาราณสี อันเสนาบดีบำรุง พักอยู่ในพระราชอุทยาน
ต่อมาวันหนึ่ง พระราชาทรงพระนามว่า กลาปุ เสวยน้ำจัณฑ์มึนเมา เสียพระสติ มีพวกนักฟ้อนห้อมล้อม เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน ได้ทรงนิทรา ทอดพระเศียรลงบนตักของหญิงซึ่งเป็นที่รักและพอพระหฤทัยคนหนึ่ง
ครั้งนั้น หญิงพวกอื่นต่างพากันทอดทิ้งพระราชาเสีย เที่ยวไปใน พระราชอุทยาน เห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ที่โคนไม้รังซึ่งมีดอกบานสะพรั่ง จึงไหว้ท่าน แล้วนั่งฟังธรรมอยู่
พระราชาทรงตื่นบรรทมขึ้น เมื่อไม่ทอดพระเนตรเห็นหญิงเหล่านั้นจึงกริ้ว ทรงถือพระขรรค์เสด็จไป ทีนั้นหญิงที่ทรงโปรดปรานมากคนหนึ่งได้คว้าเอาพระขรรค์จากพระหัตถ์ของพระองค์ไปเสีย
พระราชาตรัสถามว่า
สมณะ ท่านมีปกติกล่าวอะไร
ขันติวาทีดาบสตอบว่า
มีปกติกล่าวขันติ มหาบพิตร
พระราชาตรัสว่า
ชื่อว่าขันตินั้น คืออะไร
ขันติวาทีดาบสกล่าวว่า
คือ ความไม่โกรธในเมื่อคนอื่นด่าอยู่ ประหารอยู่ และดูหมิ่นอยู่
พระราชาตรัสว่า
บัดนี้ เราจะเห็นความที่ขันติของท่านมีอยู่
พระองค์รับสั่งให้เรียกคนฆ่าโจรมา แล้วตรัสว่า
เจ้าจงฆ่าดาบสชั่วคนนี้ให้ล้มลงบนแผ่นดิน ให้การประหารสัก ๒,๐๐๐ ครั้ง ในทั้ง ๔ ข้าง คือ ข้างหน้า ข้างหลัง และในข้างทั้งสอง
เขาได้ทำตามรับสั่งแล้ว พระราชาตรัสถามอีกว่า
ท่านมีปกติกล่าวอะไร
ขันติวาทีดาบสทูลว่า
มีปกติกล่าวขันติ มหาบพิตร ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีในระหว่างหนังของอาตมาภาพหรือ ขันตินี้ไม่ได้มีในระหว่างหนังนี้ แต่ขันตินี้ตั้งอยู่ภายในหทัยอันลึกของอาตมาภาพ
พระราชาตรัสว่า
เจ้าจงตัดมือและเท้าของดาบสนี้
ซึ่งเขาก็ได้ทำตามรับสั่งแล้ว พระราชาจึงตรัสถามแม้อีก ขันติวาทีดาบสก็ได้กล่าวว่า
มีปกติกล่าวขันติ มหาบพิตร ก็พระองค์ทรงสำคัญว่า ขันติมีอยู่ที่ปลายมือปลายเท้าของอาตมาภาพหรือ ขันตินี้ไม่มีที่ปลายมือปลายเท้านี้
พระราชารับสั่งให้ตัดหูและจมูกของดาบส ซึ่งเขาก็ได้ทำตามรับสั่ง แล้ว พระราชาก็ได้ตรัสถามอย่างนั้นอีก และขันติวาทีดาบสได้ทูลโดยนัยดังกล่าวแล้ว พระราชากริ้วมาก เอาพระปราษณี คือ ส้นพระบาท กระทืบลงตรงกลางอกของ พระโพธิสัตว์ แล้วเสด็จหลีกไป ถูกแผ่นดินสูบที่ประตูพระราชอุทยานนั่นเอง เกิดในอเวจีแล้ว
ก็เมื่อพระราชานั้นพอเสด็จหลีกไปแล้ว เสนาบดีเช็ดโลหิตของพระโพธิสัตว์ พยุงให้นั่งลงแล้ว เรียนอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านมีประสงค์จะโกรธ ก็พึงโกรธต่อพระราชาผู้ทำความผิด ในท่านเท่านั้น อย่าโกรธต่อผู้อื่นเลย
ขันติวาทีดาบสได้ฟังคำนั้นจึงกล่าวคาถานี้ใน ขันติวาทีชาดก ใน ทุติยวรรค จตุกนิบาต มีข้อความว่า
พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของเราแล้ว ขอพระราชาพระองค์นั้น จงทรงดำรงพระชนม์ชีพตลอดกาลนานเถิด เพราะคนเช่นเราหาโกรธไม่
ต่างกันแล้ว ใช่ไหม การสะสมความไม่โกรธซึ่งเป็นขันติ สามารถที่จะไม่โกรธได้ทุกสถานการณ์ ซึ่งคงจะเป็นอีกนานแสนนานของแต่ละชีวิตของแต่ละท่าน แต่ถ้าเริ่ม เริ่มเดี๋ยวนี้ที่จะรู้สึกว่า เวลาที่ความโกรธเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะคนอื่น แต่เป็นเพราะกิเลสของท่านเองเท่านั้น และที่จะดับกิเลสได้หมดเป็นสมุจเฉท ก็ต้องอบรมเจริญสติปัฏฐาน
ถ. ขันติวาทีดาบส ถูกพระราชาสั่งให้กระทำอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ไม่โกรธ แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังละกิเลสไม่ได้ กิเลสของท่านยังมี โทสะของท่านก็มีอยู่
สุ. จนกว่าปัญญาจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม
ถ. แต่ทำไมถึงได้ทนได้
สุ. ก็สะสมไปเรื่อยๆ วันนี้หัดทนนิดหน่อย วันต่อๆ ไปก็จะทนเพิ่มขึ้น อีกได้ เพราะรู้ว่าคนที่กล่าวคำต่างๆ กำลังโกรธ หรือกำลังเข้าใจผิด หรือกำลังเหลวไหล กำลังพูดสิ่งที่ไม่มีสาระ ทำไมใจของท่านถึงจะเดือดร้อนกับคำที่ไม่มีสาระ เรื่องที่ไม่มีสาระเหล่านั้น ควรที่จะเมตตาในผู้ที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชาและอกุศลธรรมซึ่งเกิดขึ้นและดับไป ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แต่เป็นเหตุที่จะให้ได้รับ อกุศลวิบากสำหรับบุคคลนั้น ฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่น่าสงสาร มากกว่าที่จะน่าโกรธ
ถ. แสดงว่าท่านคงจะเข้าใจสภาวธรรมอยู่แล้ว
สุ. แน่นอน ต้องเป็นผู้ที่เจริญโสภณธรรม และเห็นโทษของอกุศลธรรม
ถ. ขันติกับอโทสะ ไม่ใช่ตัวเดียวกันหรือ
สุ. อโทสะ ความไม่โกรธ เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังไม่โกรธเป็นขันติ หรือเปล่า
ถ. เนื่องจากท่านยังไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านย่อมมีโทสะ แต่ทำไมท่านไม่มีโทสะ
สุ. เวลาที่เป็นพระโพธิสัตว์ และแต่ละชาติก็บำเพ็ญพระบารมีต่างๆ จนกว่าปัญญาจะถึงความสมบูรณ์ที่จะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้น ในบางกาล บางโอกาส บางเดือน บางวัน ท่านผู้ฟังเป็นคนดีไหม ตั้งใจทำดี ทำได้พอสมควร ก็หลายวันอยู่ หรืออาจจะเต็มวัน แต่อาจจะไม่ตลอดเดือน อาจจะไม่ตลอดปี และ ขยายออกไปให้เป็นช่วงชีวิตในชาติหนึ่งๆ ในชาติหนึ่งอาจจะได้บำเพ็ญกุศลกรรม โสภณธรรมเอาไว้พอสมควร แต่ชาติต่อไปเมื่อมีเหตุมีปัจจัยที่จะให้ความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธก็เกิดได้ เพราะว่ายังไม่ดับเป็นสมุจเฉท
อย่างบางท่านตั้งใจว่าจะถวายทาน ขณะที่กระทำก็กระทำด้วยความผ่องใส จริงๆ ชั่วขณะ แต่อีกหลายวันต่อมา คนอื่นมาขออะไร ก็อาจจะไม่ให้ก็ได้ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป ตลอดไป สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท
กุศลกรรมหรือกุศลธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยเฉพาะกาลหนึ่งๆ เท่านั้น และดับไป ถ้าพิจารณาว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนที่ยั่งยืนเลย ทุกคนมีทั้งกุศลและอกุศล ถ้ายังไม่เป็นพระอริยบุคคล ก็มีความเป็นปุถุชนหนาด้วยกิเลสเหมือนกัน เพราะว่ายังไม่ได้ดับกิเลสใดๆ เป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้น ควรที่จะเข้าใจ เห็นใจ และอภัยให้คนที่ขณะนั้นมีปัจจัยให้อกุศลจิตเกิด และตัวเองก็ ไม่เดือดร้อน เพราะว่าอภัยให้ได้ แต่ให้ทราบว่า เป็นกาลๆ เฉพาะกาลๆ ไม่ใช่ตลอดไป วันหนึ่งใจดีมาก วันหลังโกรธมาก ให้ทานมากอาทิตย์หนึ่ง อีกอาทิตย์หนึ่งอาจจะโกรธมากก็ได้ หรืออาจจะไม่ให้อะไรเลยก็ได้ [ตอนที่ 1610]

กุศลกรรมหรือกุศลธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยเฉพาะกาลหนึ่งๆ เท่านั้น และดับไป ถ้าพิจารณาว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนที่ยั่งยืนเลย ทุกคนมีทั้งกุศลและอกุศล เพราะว่ายังไม่ได้ดับกิเลสใดๆ เป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้น ควรที่จะเข้าใจ เห็นใจ และอภัยให้คนที่ขณะนั้นมีปัจจัยให้อกุศลจิตเกิด และตัวเองก็ ไม่เดือดร้อน เพราะว่าอภัยให้ได้ [ตอนที่ 1610]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ



