ขณะนี้มีความทุกข์เหลือเกิน
เป็นของธรรมดาสำหรับทุกคน คนที่ไม่มีทุกข์ไม่มี ขอให้ทราบว่า ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น ถ้าถามชีวิตของเขาจริงๆ แล้ว ทุกคนมีขณะที่เป็นทุกข์ ความทุกข์เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ทุกคนมีทุกข์ทั้งนั้น แต่ทุกข์คนละรูปแบบ ทุกข์ของแต่ละคนไม่ได้อยู่ที่คนอื่น แต่อยู่ที่ตัวเองซึ่งในขณะนั้นปัญญาไม่เกิดจึงเป็นทุกข์
เปิดฟัง ...
ความทุกข์ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ทุกคนมีทุกข์ทั้งนั้น แต่ทุกข์คนละรูปแบบ ถ้ารับประทานอาหารที่เค็มไป ไม่ว่าใครทั้งนั้นก็เป็นทุกข์ เผ็ดไปก็เป็นทุกข์ ถ้าอากาศจะหนาวขึ้น เย็นลงไปอีก ทุกคนก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ทุกข์ไม่ยาก ขณะใดที่ประสบกับอารมณ์ที่ไม่พอใจ เช่น กลิ่นเหม็น รสไม่อร่อย เสียงไม่เพราะ รูปไม่สวย นี่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้งสิ้น
ท่านผู้ถามกล่าวว่า ขณะนี้มีความทุกข์ในใจเหลือเกิน
เป็นของธรรมดาสำหรับทุกคน คนที่ไม่มีทุกข์ไม่มี ขอให้ทราบว่า ไม่ว่าจะ เป็นใครทั้งนั้น ถ้าถามชีวิตของเขาจริงๆ แล้ว ทุกคนมีขณะที่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่แปลกเลย
และท่านถามว่า ชีวิตครอบครัว คือ สามี ทีแรกดี ต่อมาเป็นคนไม่มีศีล ดื่มสุราเป็นอาจิณ กีฬานารีเป็นกิจวัตร โกหกอยู่เรื่อย ทุบตีทำร้ายจิตใจ ลูกหลานภายในยุ่งหมด จะปฏิบัติอย่างไร
แก้ไขคนอื่นนี่ยาก และไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย ถ้าใครคิดจะแก้คนอื่น จนตายก็แก้ไม่ได้ เพราะเหตุไร ก็เพราะว่าตัวเองแท้ๆ ยังแก้ไม่ได้ จะไปแก้คนอื่น ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ว่าจะประสบกับอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจที่ไม่น่าพอใจอย่างไร ต้องรู้ว่าความทุกข์นั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร จึงจะสามารถแก้ได้ เพราะว่าทุกข์ของแต่ละคนไม่ได้อยู่ที่คนอื่น แต่อยู่ที่ตัวเองซึ่งในขณะนั้นปัญญาไม่เกิดจึงเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น มีหนทางเดียว อีกเหมือนกัน คือ ไม่แก้คนอื่น แต่อบรมเจริญปัญญาของตนเองจนกระทั่งรู้จริงๆ ว่า ทุกข์ก็ไม่ยั่งยืน และเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งทุกคนมีในสังสารวัฏฏ์ [ตอนที่ 1843]

อุเบกขาเวทนา คือ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ความรู้สึกอื่น คือ สุขเวทนา หรือ โสมนัสเวทนาเกิดต่อ แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง เวทนาอื่น คือ ทุกขเวทนา หรือ โทมนัสเวทนา เกิดต่อแล้วก็ดับไปไม่เที่ยง หมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกวัน ไม่จบสิ้น
ได้ซึ่งสุข ก็จะต้องสลับกับทุกข์ต่อไปจนถึงขณะตาย สิ้นสุดความเป็นบุคคลในชาติหนึ่งๆ ซึ่งทุกชาติแม้ในชาติก่อนๆ และชาติหน้าต่อๆ ไปอีก ก็ย่อมเป็นเช่นนี้แหละ ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นที่สามารถจะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท
กิเลสทั้งหลายที่เกิดแต่ละครั้งแต่ละขณะ แม้ว่าจะดับไปแล้ว ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิตขณะต่อๆ ไป เป็นอนุสัยกิเลส คือ เป็นกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ จึงเป็นเชื้อปัจจัยที่จะทำให้เกิดกิเลสประเภทนั้นๆ อีก [แด่ผู้มีทุกข์ โดย สุจินต์ บริหารวนเขตต์]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ



