เมื่อปัญญารู้ ปัญญารู้อะไร?

 
เมตตา
วันที่  16 ก.ย. 2568
หมายเลข  50948
อ่าน  384

[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 881

แม้ผู้มีปัญญาทราม ก็จะนั่งในท่ามกลางแห่งอุปัฏฐากทั้งหลาย กล่าวอยู่ว่า เราย่อมสละปริยัติ ดังนี้ เป็นต้น ด้วยคำว่า เมื่อเราตรวจดูหมวดสามแห่งธรรมอันยังสัตว์ให้เนิ่นช้าในมัชฌิมนิกายอยู่ มรรคนั่นแหละมาแล้วพร้อมด้วยฤทธิ์ ชื่อว่าปริยัติ ไม่เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยยากสำหรับพวกเรา การสนใจในปริยัติ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ดังนี้ ย่อมแสดงซึ่งความที่ตนเป็นคนมีปัญญามาก. ก็เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมทำลายพระศาสนา. ชื่อว่า มหาโจรเช่นกับบุคคลนี้ ย่อมไม่มี เพราะว่า บุคคลผู้ทรงพระปริยัติ ชื่อว่า ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่.


[เล่มที่ ๗๖] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๑๓

ดูก่อนท่านวิสาขะ ธรรมเหล่านี้คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สงเคราะห์ลงในศีลขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า ชาติสงเคราะห์.

ดูก่อนท่านวิสาขะ ธรรมเหล่านี้คือ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สงเคราะห์ลงในสมาธิขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า สัญชาติสงเคราะห์.

ดูก่อนท่านวิสาขะ ธรรมเหล่านี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สงเคราะห์ลงในปัญญาขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า กิริยาสงเคราะห์.

อธิบายว่า ได้แก่ การนับรูปโดยส่วนเดียว ในบททั้งปวงก็นัยนี้.

[เล่มที่ ๒๔] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๕๘

อรรถกถาเชตวนสูตร

อีกอย่างหนึ่ง

บทว่า วิชฺชา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ.

บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ.

บทว่า สีล  ได้แก่ สัมมาวาจา และสัมมากัมมันตะ.


อ.อรรณพ: เมื่อวานนี้เราก็สนทนาที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ที่บ้านท่านอาจารย์เมื่อเร็วๆ นี้ครับว่า ปัญญารู้ในความมืด คณะอาจารย์ท่านก็สนทนากันไปตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคนครับ ต้องมากราบเท้าถามท่านอาจารย์เพื่อท่านอาจารย์จะได้กล่าวคำอันเป็นประโยชน์กับพวกเราครับว่า ทำไมปัญญาจึงรู้ในความมืด ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ปัญญารู้อะไร?

อ.อรรณพ: ปัญญารู้สิ่งที่ปรากฏครับ

ท่านอาจารย์: อะไรล่ะ?

อ.อรรณพ: ธรรมะแต่ละอย่างๆ

ท่านอาจารย์: อะไรล่ะ?

อ.อรรณพ: สิ่งที่ปรากฏทางตา

ท่านอาจารย์: สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏในความมืด หรือความสว่าง?

อ.อรรณพ: ปรากฏในความมืดครับเพราะปรากฏกับความไม่รู้

ท่านอาจารย์: แต่เดี๋ยวนี้สว่างใช่ไหม?

อ.อรรณพ: แต่เดี๋ยวนี้ ... ถึงได้กราบเท้าว่า เกินวิสัยที่จะตอบว่า เดี๋ยวนี้มืด เพราะเดี๋ยวนี้เข้าใจ และก็มีความคิดความจำว่าสว่างครับ

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่คิด หรือจำ แต่กำลังสว่างใช่ไหม?

อ.อรรณพ: เดี๋ยวนี้กำลังสว่างครับ

ท่านอาจารย์: จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม?

อ.อรรณพ: ไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: เป็นสิ่งหนึ่งที่ปัญญารู้ได้ใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ และอีกหลายๆ สิ่งครับ

ท่านอาจารย์: เป็นสิ่งหนึ่งที่ปัญญารู้ได้เมื่อไหร่?

อ.อรรณพ: เมื่อปรากฏกับปัญญาครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ยังไม่ได้ปรากฏกับปัญญาใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: ก็ปรากฏเพียงแค่สว่าง แล้วก็อะไรที่รู้สว่างเดี๋ยวนี้?

อ.อรรณพ: ธาตุรู้สว่างเกิดที่ตา

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง แต่ ต่อจากนั้นเดี๋ยวนี้กำลังสว่าง แต่อะไรรู้ความสว่างนั้น?

อ.อรรณพ: ธาตุรู้ครับ

ท่านอาจารย์: ธาตุรู้มีแน่นอน ธาตุรู้ รู้ อื่นไม่ได้ขณะที่กำลังเห็น

อ.อรรณพ: ครับ

ท่านอาจารย์: รู้สิ่งที่กระทบตาปรากฏ นั่นคือลักษณะของธาตุรู้ แต่เมื่อมีสิ่งที่รู้ และมีสิ่งที่กระทบตาปรากฏ ปัญญารู้อะไร?

อ.อรรณพ: ปัญญารู้สิ่งที่ปรากฏครับ

ท่านอาจารย์: ยังไม่รู้ใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ในเมื่อปัญญายังไม่เกิด ก็ไม่รู้ครับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้ใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ยังไม่รู้ครับ เพราะกำลังคิดกำลังฟัง

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อปัญญารู้ ปัญญารู้อะไร?

อ.อรรณพ: ปัญญารู้สิ่งที่กระทบตา

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะนั้นรู้ทางไหน ที่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตา?

อ.อรรณพ: รู้ทางตาครับ

ท่านอาจารย์: ทางตามีสิ่งเดียวที่รู้ คือธาตุรู้ จักขุวิญญาณ เท่านั้นที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็มีธาตุรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา รู้ไหม?

อ.อรรณพ: ยังไม่รู้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะนั้นอวิชชาใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: และ ถ้าเป็นปัญญาล่ะ ไม่ใช่อวิชชาล่ะ?

อ.อรรณพ: ปัญญาก็รู้

ท่านอาจารย์: ปัญญารู้อะไร?

อ.อรรณพ: รู้สิ่งที่ปรากฏนั่นครับ

ท่านอาจารย์: อะไร?? สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่เห็นใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ไม่ใช่เห็นครับ สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็คือ สี สว่าง

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ปัญญาที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนั้นมืด หรือสว่าง?

อ.อรรณพ: สิ่งที่ปรากฏทางตาสว่างครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ปัญญาขณะที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนั้นมืดหรือสว่าง ที่รู้สิ่งที่สว่างที่ปรากฏ ขณะนั้นที่รู้มืดหรือสว่าง?

อ.อรรณพ: สว่างครับ

ท่านอาจารย์: รู้ทางไหน?

อ.อรรณพ: รู้ทางตา ทางใจ

ท่านอาจารย์: ทีละทางค่ะ

อ.อรรณพ: ทางตาครับ

ท่านอาจารย์: ทางตาขณะนี้มีปัญญาไหม?

อ.อรรณพ: ไม่ทราบครับ

ท่านอาจารย์: ไม่ทราบ ก็คืออวิชชา

อ.อรรณพ: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: นี่ล่ะ ความลึกซึ้งที่ขั้นฟังต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องว่า โลกไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ทุกคำที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก เป็นความจริงที่ประมาณไม่ได้ ไม่สามารถที่จะคิดนึกประมาณเอาเอง แต่ต้องเข้าใจความจริง แล้วจึงรู้ว่า ความจริงนั้นลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะรู้ได้

เพราะฉะนั้น จะไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำสอนของคนธรรมดา ไม่รู้อะไรตามความเป็นจริง ไม่ลึกซึ้งเลย แต่นี่ลึกซึ้งที่จะประมาณได้ เพราะอะไร? นานเท่าไหร่ ฟังแล้วฟังอีกๆ ๆ ๆ จนกว่าจะสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้

เพราะฉะนั้น ความจริงต้องไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ว่าอะไรนะครับ

ท่านอาจารย์: ความจริงต้องไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้รู้ ต้องลึกซึ้งกว่านั้น จึงต้องฟังแล้วฟังอีกๆ ๆ นานเท่าไหร่ กี่กัปป์ กว่าจะรู้ความจริงได้

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ครับ ผมขอทบทวนท่านอาจารย์กล่าวว่า ความจริงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้รู้

ท่านอาจารย์: สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ปรากฏตามความเป็นจริงหรือเปล่า?

อ.อรรณพ: ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อความจริงปรากฏจะเป็นอย่างนี้ไหม?

อ.อรรณพ: เมื่อความจริงปรากฏจะไม่เป็นอย่างนี้ครับ

ท่านอาจารย์: ก็ถูกต้องใช่ไหม ไม่เป็นอย่างนี้?

อ.อรรณพ: แม้โลกทางหนึ่ง คือโลกทางตา ก็ยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง

ท่านอาจารย์: เพราะเหตุว่า ขณะที่โลกกำลังปรากฏทางตา ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏ และธาตุรู้ที่เห็น และจะให้ปรากฏได้อย่างไร เพราะปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ได้ จนกระทั่งประจักษ์ชัด เพราะขณะนี้ไม่มีอะไรสักอย่างที่ปรากฏ แค่นี้ค่ะ ลึกซึ้งแค่ไหนที่จะรู้จักพระพุทธศาสนา รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จักการบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้ความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องอาศัยกาลเวลายาวนานมากกว่าที่จะสามารถค่อยๆ รู้ความจริงที่มีจนทั่วที่ปรากฏ ไม่มีความสงสัยใดๆ

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ก็กล่าวกับผู้ที่ได้ศึกษาวิถีจิตมาบ้างอยู่เสมอว่า หลังจาก เห็น เกิดและดับไปเพียง ๓ ขณะ ความไม่รู้ก็ไหลไปครับ และความไม่รู้หรืออกุศลนั้นก็มี สี ที่ยังไม่ดับไปเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ครับ แต่ว่า ...

ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?

อ.อรรณพ: เพราะสะสมความไม่รู้มาเยอะครับ

ท่านอาจารย์: เพราะสิ่งที่กระทบตายังไม่ดับ แล้วจะให้ไปรู้อะไรได้

อ.อรรณพ: ครับ ก็ต้องรู้สิ่งที่กระทบตา

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เร็วแค่ไหน สิ่งที่กระทบตาที่ยังไม่ดับ เร็วแค่ไหน?

อ.อรรณพ: สุดประมาณครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น โลกจึงไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง

อ.อรรณพ: น่าสลดใจว่า ความไม่รู้เพียงแค่จิตเห็นดับไป ๓ ขณะจิต ความไม่รู้ก็เกิดขึ้นรู้รู้สิ่งที่กระทบตาที่ยังไม่ดับอยู่เรื่อยๆ

ท่านอาจารย์: ค่ะ คิดดู นานเท่าไหร่ มากเท่าไหร่?

อ.อรรณพ: พรรณาไม่ไหวครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น การจะดับความไม่รู้ที่เกิดพร้อมกับความเห็นผิด พร้อมทั้งความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏนานเท่าไหร่? เห็นไหม? ประมาณไม่ได้เลย ไม่ใช่ฟังไป มีวิธีไหนที่รู้ได้ก็จะทำให้รู้เร็วๆ

ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน

ขอเชิญอ่านได้ที่..

รู้ประโยชน์เพราะปัญญา

ที่พึ่งจริงๆ คือปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง

จม. ถึงท่านอาจารย์ - ไม่ต้องคำนึงถึงกาลเวลา ว่ากี่ปีแล้ว

ขอเชิญฟังได้ที่..

ดีเพราะปัญญา

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 16 ก.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณมากค่ะน้องเมตตา ยินดียิ่งในกุศลทุกประการนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 16 ก.ย. 2568

ขณะที่โลกกำลังปรากฏทางตา ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏ และธาตุรู้ที่เห็น และจะให้ปรากฏได้อย่างไร ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ได้ จนกระทั่งประจักษ์ชัด ขณะนี้ไม่มีอะไรสักอย่างที่ปรากฏ ลึกซึ้งแค่ไหนที่จะรู้จักพระพุทธศาสนา รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จักการบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้ความจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องอาศัยกาลเวลายาวนานมากกว่าที่จะสามารถค่อยๆ รู้ความจริงที่มีจนทั่วที่ปรากฏ ไม่มีความสงสัยใดๆ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มังกรทอง
วันที่ 17 ก.ย. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ