English-Hindi-Thai 16 August 2025

 
prinwut
วันที่  17 ส.ค. 2568
หมายเลข  50697
อ่าน  443

English-Hindi-Thai 16 August 2025


- จริงๆ แล้วก่อนที่จะเกิด ไม่มีคุณแอนใช่ไหมและหลังจากที่ตายก็ไม่มีคุณแอน แล้วคุณแอนตั้งแต่เกิดจนตายไปไหน หมดแล้วไม่กลับมาอีกเลย แม้แต่เห็น คิดนึก ติดข้อง โกรธ ทั้งหมดดับไปหมดแต่ใครรู้ว่ามีอะไรเดี๋ยวนี้ สภาพที่มีจริงที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ถ้าไม่มีสภาพรู้อะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้เลย

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นเพราะมีสภาพรู้ที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่เห็นเดี๋ยวนี้ รู้สิ่งที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ สิ่งที่คิดนึกเดี๋ยวนี้เสมอๆ แต่ไม่มีใครใส่ใจในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตายแล้วเกิดอีกจนตายอีกเวียนว่ายตายเกิดอีกมากมาย ไม่มีใครรู้เลยเพราะถูกปกปิดไว้ด้วยการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วสุดประมาณของสภาพรู้แต่ละขณะ

- ด้วยเหตุนี้มีความจริงให้ศึกษาให้เข้าใจเพื่อมั่นคงในความจริงเพิ่มขึ้นๆ เพราะว่า ถ้าตายเดี๋ยวนี้ทั้งหมดไม่เหลือเลย ไม่มีคุณแอน ไม่มีสุจินต์ ไม่มีอะไรเลย มีเพียงปัจจัยให้เกิดขณะต่อไปหลังจากตายเพียงเพื่อเห็น ได้ยิน คิดนึกเท่านั้นเองแล้วก็ตายอีกโดยไม่รู้ขณะที่ตายเลย

- เพราะฉะนัั้นเป็นการเริ่มเข้าใจอริยสัจจ์ที่ ๑ ธรรมทั้งหมดที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งเป็นทุกข์ในนัยที่ไม่เป็นที่น่ายินดีเลยเพราะดับหมดแล้ว เพราะฉะนั้นติดข้องในสิ่งที่หมดแล้วไม่มีแล้วด้วยความไม่รู้ที่ปกปิดความจริงในขณะนั้น

- เพราะฉะนั้นขณะที่เข้าใจความจริง ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวได้ว่าความเข้าใจมีค่าขนาดไหนที่สามารถประจักษ์แจ้ง ที่มีความมั่นคงเพิ่มขึ้นในความจริงขณะนี้ดับแล้ว เห็นดับแล้วได้ยินดับแล้ว ทุกขณะดับแล้วไม่รู้เลย เพียงตามไปในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ แต่ตามความเป็นจริงการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วไม่ขาดสายของสภาพรู้ทำให้ปรากฏเป็นอย่างนั้น เพียง ๑ ขณะของสภาพธรรมไม่สามารถที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลย

- ฟังความจริงแล้วพิจารณาไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีก ขณะนั้นที่กำลังพิจารณา ใครจะรู้ว่าไม่ใช่เราที่ไตร่ตรอง ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงและทรงแบ่งปันเกื้อกูลความจริงแต่ละขณะด้วยคำต่า่งๆ เช่น จิต สภาพที่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ตรงต่อความจริงว่า จิตคืออะไร เป็นเพียงสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์เท่านั้นเพียงแค่นั้นแล้งดับ เพราะว่ามีปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเมื่อเกิดแล้วก็ดับ ไม่มีปัจจัยให้จิตอยู่นานๆ ได้เลย

- ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาเพื่อเข้าใจทีละเล้กทีละน้อยทีละคำเพื่อมั่นคงจริงๆ ในสิ่งสภาพที่มีจริงที่ต่่งจากสภาพธรรมอื่นๆ จิตไม่จำ จิตไม่รู้สึก จิตเป็นสภาพธรรมที่เกิดมีปัจจัยให้เกิดขึ้นเห็น เปลี่ยนไม่ได้ ความเข้าใจว่าไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่เรารู้ ไม่ใช่เราชอบ เป็นเพียงสภาพรู้ที่รู้สิ่งที่ปรากฏ เข้าใจอย่างนี้ทีละเล็กทีละน้อยเพียงคำว่า จิต มั่นคงไหมว่าไม่มีใครทั้งสิ้นในชีวิต แต่ว่าจะมีแต่จิตอย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้

- ตรงต่อความจริงในสิ่งที่มีจริงในแต่ละขณะในชีวิตประจำวันว่า มีสภาพธรรมอย่างอื่นด้วย ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของแต่ละหนึ่งทีละเล็กทีละน้อยตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ว่า ทั้งหมดเป็นแต่ละธรรมที่แตกต่างกัน เราสนทนาอะไรก็ได้เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งนั้นและความเห็นถูกเข้าใจถูกเท่านั้นที่สามารถละคลายความคิดว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแม้แต่เดียวนี้ ถึงเวลาที่จะฟังที่จะได้ยินเพิ่มขึ้น ที่จะพิจารณาไตร่ตรองเพิ่มขึ้นเพื่อความมั่นคงในความจริงเพิ่มขึ้นทีละน้อย อย่างเงียบๆ และลึกซึ้ง

- ธรรมมีหนทางของธรรมที่จะเป็นไป ไม่ใช่เราที่พยายาม ไม่ใช่เราที่รู้ ธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตน นี้เป็นหนทางละความต้องการที่จะไปทำอะไรเพื่อให้เข้าใจ สิ่งที่จำเป็นคือเพียงฟังคำจริงเท่านั้นเพื่อเตือน เพื่อให้ไม่ลืม และสภาพที่ไม่ลืมเป็นสติเป็นสภาพที่มีจริง ไม่ใช่เพียงแค่คำที่เราพูดซ้ำๆ แต่ว่าขณะใดก็ตามที่เป็นกุศลเพราะขณะนั้นมีสติไม่หลงลืมทีจะเป็นไปในกุศลคุณความดี แม้ว่าในชีวิตประจำวันจะมีสติเกิดขึ้นแต่ก็ไม่รู้ เพราะว่าเราเพียงแค่ได้ฟังเรื่องสติ

- เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่จะเข้าใจขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นจิต ไม่ว่าจะเป็นสติและศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมอื่นๆ ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อศึกษาสิ่งที่มีจริง ศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่แค่คำ เพราะฉะนั้น จิตอยู่ไหน

- (คุณแอน - อยู่ไหน)

- ใช่ อยู่ไหน

- (คุณแอน - อยู่ที่เดี๋ยวนี้)

- ใช่ค่ะ อยู่ภายในที่สุด ลึกที่สุดไม่ไกลจากศีรษะจรดเท้าเลย มีจิตแต่ไม่รู้ ด้วยเหตุนี้จึงมีคำในภาษาบาลีทรงแสดงไว้ว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาในตน ค่อยๆ เข้าใกล้สิ่งที่มีจริงเพิ่มขึ้นๆ ที่อยู่ไม่ไกลเลยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

- (คุณแอน - จากการสนทนาเมื่อเช้าวานนี้ ติดใจประโยคที่ว่า จุติจิต ๑ ขณะดับไปแล้วปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีนิมิตซึ่งหมายความว่าไม่มีเครื่องหมาย เพราะฉะนั้นเมื่อจิตนี้เกิดขึ้นไม่มีเครื่องหมาย)

- เดี๋ยวนี้จุติจิตปรากฏให้รู้เหมือนจิตเห็นไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นเป็นนิมิตของเห็นแต่ว่าขณะที่จิตทำกิจตายเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ และเรากำลังศึกษาเพียงขั้นฟังคำ เช่น นิมิต ฯลฯ แต่ไม่ใช่ความจริงเพราะสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นนิมิต ถ้ามีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏก็จะทราบว่า เป็นเพียงนิมิตของสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เห็นไหมว่าเรามีชีวิตอยู่ในความมืดบอดขนาดไหน ไม่มีความเข้าใจความจริงว่า เป็นเพียงนิมิตเครื่องหมายของสภาพธรรมที่เกิดดับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2568

- ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดยนัยของวิถีจิตแต่ละวิถีต้องมีอาวัชชนจิตก่อนเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และทางใจต้องมีมโนทวาราวัชชนจิต ไม่มีใครทำอะไรได้เพราะทั้งหมดเป็นไปตามปัจจัย

- ทีละเล็กทีละน้อยเป็นหนทางที่จะซาบซึ้งในความจริง ที่จะอาจหาญร่าเริงในความ ไม่มืดบอดเหมือนที่ผ่านมาโดยตลอดว่า เรามีชีวิตอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงญาติมิตร และสิ่งต่างๆ ฯลฯ แต่ตามความเป็นจริงเราอยู่ในความมืดเพราะทุกสิ่งมืดเว้นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นที่สว่าง

- เพราะฉะนั้นความไม่รู้ขนาดไหน แต่สามารถที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อยได้เมื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น มิฉะนั้นไม่มีใครเข้าใจความจริงได้ ก็มีชีวิตอยู่ไปอย่างมืดๆ ในสังสารวัฏฏื ไม่มีทางออกไปได้

- (คุณแอน - เมื่อได้ยินเรื่องการจากไปของคุณฮัง ดิฉันรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ จากที่ได้ฟังธรรมมานานก็ได้เข้าใจชัดเจนขึ้นเล็กน้อยว่า ความตายไม่มีใครรู้ล่วงหน้าและเกิดขึ้นเร็วมาก คุณอชิตะบอกว่า การตายของคุณฮังเป็นเหมือนของขวัญที่เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า ธรรมเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งมาก)

- และจะลึกซึ้งมากกว่านี้ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เมื่อมีความเข้าใจในสภาพธรรมหนึ่งเพิ่มขึ้นแม้เพียงเล้กน้อย นี้เป็นหนทางทางเดียวเท่านั้นที่ละความคิดว่าเป็นเรา ขณะที่คิดถึงคุณฮัง คิดถึงคน ตามความเป็นจริงคิดไม่ใช่ “เรากำลังคิดถึงฮัง” ความคิดคิดจนกว่าจะมีความเข้าใจถูกในขณะที่คิดว่า คิดก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่คิด ไม่ใช่ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งทีกระทบสัมผัสเลย เป็นขณะที่คิดเท่านั้น แค่คิด

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดไม่มีจริง เช่น คิดถึงคุณฮังโดยรูปร่างรูปทรง คิดถึงรอยยิ้มของคุณฮัง ฯลฯ แต่ความจริงเป็นเพียงความคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้นซึ่งไม่ใช่ใครทั้งสิ้น นี้คือหนทางในการอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ ขณะที่มีความเข้าใจนั้นเองที่อบรมเจริญขึ้นไม่มีทนทางอื่น ด้วยเหตุนี้จึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- เพราะฉะนั้นเมื่อมีใครกล่าวถึงมรรคมีองค์ ๘ ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้กล่าวนั้นว่ามีมากน้อยแค่ไหน เป็นแค่กล่าวคำหรือว่าขณะนี้ที่มีความเข้าใจเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีชีวิตตามปกติเพราะทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ต้องไปทำอะไรเพียงอบรมความใส่ใจในลักษณะของสิ่งที่มีที่เกิดแล้ว ไม่ใช่สภาพธรรมอื่นๆ เห็นไหมว่ายากมาก

- ยากที่จะมีขณะที่เข้าใจถูกในสิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่ความรู้สึก ไม่ใช่ความจำแต่เป็นความเข้าใจถูกที่มีสัมมาสมาธิเป็นปัจจัย เพราะว่าเพราะเป็นความตั้งมั่นถูกที่เกิดพร้อมกับความเข้าใจถูกในความจริง เพราะว่าในชีวิตประจำวันสติสามารถเกิดได้แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นเพียงสติที่จะให้ สติที่จะช่วยเหลือ สติที่จะเป็นมิตรเป็นเพื่อนเท่นั้นแต่แม้อย่างนั้นก็ไม่รู้จักสติถ้าไม่มีการคิดถึงว่าธรรมทั้งหมดคือเดี๋ยวนี้ในชีวิตประจำวัน

- และนี้เป็นวิริยะบารมี ขันติบารมี อธิษฐานบารมี มั่นคงในความจริงเพื่อละเป็นเนกขัมมะบารมี พร้อมด้วยบารมีอื่นๆ มีความหวังดีเป็นมิตรเป็นเพื่อนกับทุกคน ขณะนั้นก็ช่วยตนเองให้พ้นจากอกุศล ด้วยเหตุนี้คุณความดีที่เกิดพร้อมกับความเข้าใจถูกจึงเป็นบารมีเพราะปัจจัยเป็นปัจจัยให้ธรรมนั้นเกิดขึ้น ในขณะที่สามารถที่จะเป็นมิตรเป็นเพื่อนโดยที่ไม่มีความเข้าใจความจริงเลยก็ได้

- ด้วยเหตุนี้อารมณ์จึงเป็นสิ่งที่ถูกรู้โดยจิตทั่วไป อารมณ์เดียวกันนั้นเองที่เป็นอารมณ์พิเศษ เป็นอารมณ์ที่สมควรกับความเข้าใจความจริงซึ่งเป็นหนทางนำไปสู่ความเข้าใจถูก อารมณ์นั้นจึงเป็นอุปนิสสยโคจร ถ้าปราศจากความเข้าใจแล้วอารมณ์นั้นก็ไม่สามารถที่จะเป็นที่อาศัยให้เกิดความเข้าใจได้ แต่เมื่อมีความเข้าใจพร้อมสติก็สมควรที่จะมีนิสัยใหม่ที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นตามความเป็นจริงแล้วไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น

- อารมณ์เดียวกันนั้นเองจากที่เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความเข้าใจถูกเข้าใจในอารมณ์เดียวกันนั้นว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเหมือนที่ผ่านมา อุปนิสสยโคจรเป็นอารมณ์เดียวกันแต่เป็นโคจรที่จะอบรมเจริญความเข้าใจถูกและเป็นหนทาง

- เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่สงสัยในความหมายของอารมณ์กับโคจรเพราะโคจรคืออารมณ์ที่สมควรที่สำคัญต่อการอบรมเจริญความเข้าใจถูก โดยนัยของพระธรรมวินัยก็เป็นสถานที่ที่สมควรหรือไม่สมควรต่อภิกษุ

- (คุณแอน - ไม่เข้าใจสถานที่ที่ไม่สมควรกับภิกษุ)

- โคจร อโคจร เพราะฉะนั้นโรงภาพยนตร์เป็นอโคจรของภิกษุ ด้วยเหตุนี้เพียงคำเดียว เช่น ไทย มีหลายความหมาย มิฉะนั้นทำถึงเป็นอารมณ์และทำไมถึงเป็นโคจร เพราะว่ามีโคจร ๓ อุปนิสสยโคจร ความเข้าใจในสิ่งที่สามารถเข้าใจได้คือ สิ่งที่ปรากฏเท่านั้นที่ตามปกติเป็นอารมณ์ทั่วไปแต่เป็นโคจรของผู้ที่เข้าใจความจริงของอารมณ์นั้นจนเป็นนิสัย เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง เป็นอุปนิสสยโคจรสำหรับผู้ที่เข้าใจอารมณ์ที่ปรากฏตามความเป็นจริงที่ไม่ใช่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรืออัตตา

- (คุณแอน - เป็นอุปนิสัยของผู้ที่มีควมเข้าใจ)

- เป็นหนทางอบรมเจริญปัญญา เป็นหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนทางของทุกคนที่เข้าใจความจริง ที่ดำเนินตามคำสอนเพื่ออบรมเจริญความเข้าใจถูก และเมื่อมีความเข้าใจก็เป็นอารักขโคจร อกุศลหรือความเห็นผิด หรือหนทางผิดก็มีไม่ได้ในขณะนั้น จะไม่ไปทำอะไรที่ไหนเพราะคิดว่าเป็นทนทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริง ช่วยคุ้มครองตนให้พ้นจากหนทางผิด ให้พ้นจากความเห็นผิดในขณะนั้น และโคจรสุดท้าย อุปนิพันธโคจร อบรมจนกว่าจะเป็นอัธยาศัยตามปกติ

- เห็นไหม เมื่อได้ยินคำว่า อุปนิสสยโคจร มีความเข้าใจว่า อะไรเป็นอุปนิสสยโคจร เห็น ได้ยิน สิ่งต่างๆ ที่มีจริงแต่มีความเข้าใจ และขณะที่มีความเข้าใจความจริงไม่ไปหนทางผิดขณะนั้นก็อารักขาปกป้องคุ้มครองไม่ให้ไปทางผิด และสุดท้ายอุปนิพันธโคจรเป็นธรรมชาติเป็นไปตามปกติไม่จำเป็นต้องไปพยายามอะไรเลย เพราะว่าได้อบรมเจริญความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แทนทีจะคิดถึงสิ่งอื่นก็เป็นขณะนี้ที่มีความคิดถูกถึงสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวันก็จะมีขณะที่ความเข้าใจ การคิดพิจารณาไตร่ตรองธรรมมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอุปนิพันธผูกพันจิตไว้ไม่ไปไหนเป็นปกติ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นนิสัยระดับไหน

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2568

- (คุณสุขิน - แทบจะไม่เป็นอุปนิสสโคจรเลยเป็นขั้นแรกจนกว่าจะเป็นปกติ แต่อุปนิสสยมีน้อยมาก)

- เห็นไหม ไม่สงสัย ๓ คำนี้เมื่อมีความเข้าใจว่าทำไมเป็นโคจร ทำไมเป็นอารมณ์โดยนัยของพระสูตร พระวินัย หรือพระอภิธรรม ทั้งหมดไม่ได้คาดหวังเลย ไม่ว่าจะพูดถึงอะไร หรือขณะต่อไปก็ไม่มีใครรู้จนกว่าสิ่งที่มีจะผุดขึ้นชัดเจนเพราะว่าแม้แต่ขณะนี้ธรรมก็ผุดขึ้นแต่ไม่ชัดเจนแล้วดับแล้วอย่า่งรวดเร็ว

- เป็นชีวิตประจำวันขึ้นอยู่กับว่า เป็นชีวิตที่เป็นไปกับอวิชชาหรือชีวิตที่เป็นไปกับปัญญาซึ่งแต่ละขณะเป็นปัจจัย ไม่มีใครทำไปอะไรได้ทั้งสิ้นแต่แต่ละขณะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย นี้เป็นหนทางที่จะมีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ต้องอบรมเจริญจนกระทั่งเป็นไปตามปกติในชีวิตประจำวัน หมายความว่าไม่มีความต้องการหรือความหวังในผลเลย มิฉะนั้นก็เป็นเครื่องกั้นตามเท่าที่ยังไม่มีความเข้าใจความจริง

- ความเข้าใจสวนกระแสของความไม่รู้และความติดข้อง ไม่ได้หวังมาก่อนว่าจะเข้าใจแข็งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ หรือเสียงเดี๋ยวนี้ หรือได้ยินเดี๋ยวนี้ หรือคิดเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ไม่หวังแม้สิ่งที่ละเอียดที่สุด ความเข้าใจถูกเข้าใจอกุศลทั้งหมดทุกระดับที่เป็นความยึดถือว่ามีตัวตน มิฉะนั้นก็ยังคงมีปัจจัยที่จะให้ความยึดถือเกิดขึ้นอีก แต่ขณะที่ความไม่รู้และความเห็นผิดว่ามีตัวตนไม่เกิดขึ้นอีกเลยเมื่อถูกดับด้วยจิต ๑ ขณะที่รู้แจ้งนิพพานเป็นโสดาปฏิมัคคจิต

- (คุณแอน - ยากที่จะคิดแต่การคิดจินตนาการก็ไม่ดี)

- เพราะว่าความเข้าใจถูกลึกซึ้งมากเกินกว่าที่ใครๆ จะคิดเองได้ หนึ่งขณะที่รู้แจ้งหนึ่งอารมณ์เท่านั้น ชัดเจนไม่มีอารมณ์อื่นปะปนเลย เพียงหนึ่งเท่านั้น นามรูปปริเฉทญาณไม่มีคำเพราะเป็นปัญญาที่รู้ ไม่สงสัยเพราะกำลังประจักษ์แจ้งแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นวิปัสสนาขั้นเริ่มต้นเป็นตรุณวิปัสสนา ไม่มีกำลังเท่าวิปัสสนาขั้นอื่นๆ

- ด้วยเหตุนี้ชีวิตจึงเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ได้เป็นไปตามคสามปรารถนาของใครที่จะมีความเข้าใจเพิ่มและพยายามด้วยความเป็นตัวตนอย่างมากที่จะเข้าใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ผิดเพราะความจริงละเอียดลึกซึ้งกว่านั้นมาก และนั่นคือความเข้าใจถูกในควมจริงเป็นสัจจบารมี

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีบารมีก็เป็นไปไม่ได้ที่ละคลายความเห็นผิดหรืออกุศลทุกประการ เพียงจำคำ จำความหมาย และมีแต่ความต้องการที่จะอยากรู้คำเหล่านั้นเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทำไมต้องควรรู้ เพราะว่าถ้าไม่มีคำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใกล้ความจริงด้วยความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีว่าไม่ใช่เรา

- (คุณสุขิน - ขอฟังเพิ่มเติมถึงหนทางที่ลึกซึ้ง)

- อย่างที่คุณสุขินเพิ่งพูดว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- (คุณสุขิน - ความลึกซึ้งในนัยนั้นที่เป็นหนทางหมายความว่าอย่างไร)

- อริยสัจจ์ ๔ ง่ายมากหรือว่าลึกซึ้งมาก (ลึกซึ้งมาก) ความเข้าใจถูกในความจริงที่ลึกซึ้งของอริยสัจจ์ ๔ คือหนทาง ใช่ไหม

- (คุณสุขิน - และนั่นคือลึกซึ้ง และอยากจะฟังเพิ่ม เพราะว่า ที่เข้าใจคือ ผิดง่ายมากและหนทางที่ถูกต้องก็ลึกซึ้ง)

- เพราะฉะนั้นใครทำให้อะไรเกิดได้ไหม (ไม่) นั่นคือลึกซึ้ง

- (คุณแอน - ความลึกซึ้งก็คือความติดข้องต้องการเกิดขึ้นที่จะอยากได้ผล แม้แต่ความยินดีพอใจที่เล็กน้อยมากๆ ที่ไม่สามารถรู้ได้เดี๋ยวนี้)

- ปรากฏได้กับปัญญาเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่มีปัญญาก็ไม่มีปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะพูดถึงความลึกซึ้งมากแค่ไหนก็ตาม สิ่งนั้นก็ปรากฏได้ด้วยดีกับปัญญาเท่านั้น

- (คุณแอน - ลึกซึ้งกว่าที่จะคิดได้)

- ลองคิดดูว่า เมื่อสภาพที่มีจริงปรากฏ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นเช่น สิ่งที่ถูกเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีเสียง มีเพียงสิ่งที่ถูกเห็นเท่านั้นซึ่งไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น ลึกซึ้งไหม (ลึกซึ้ง)

- ไม่มีทางอื่นเดี๋ยวนี้นอกจากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยที่ค่อยๆ สะสมที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏโดยไม่เลือก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าอะไรจะเป็นอารมณ์ของความเข้าใจ เพราะฉะนั้นลองคิดดูว่า คำชื่อหายไปมีเพียงแข็งเท่านั้นที่ปรากฏ เมื่อแข็งปรากฏชัดเจนกับปัญญา ไม่ใช่นิ้ว ไม่ใช่เก้าอี้ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเพียงสภาพที่แข็งเท่านั้นที่ปรากฏ

- และตอนนีเราคิดว่าสามารถที่จะมีขณะที่แข็งปรากฏเพราะมีสภาพที่รู้แข็งมากมายหลายขณะโดยนิมิต เป็นนิมิตที่มีกำลังชัดเจน แข็งปรากฏเพียงขณะที่แข็งเท่านั้น ตรงนั้น ไม่มีอะไรปรากฏนอกจากแข็งที่กระทบ เพราะฉะนั้นโลกทั้งโลก คนสัตว์สิ่งของไม่ปรากฏ ปรากฏไม่ได้เพราะเพียงสภาพแข็งเท่านั้นที่ปรากฏดีกับปัญญา

- เพราะฉะนั้นไตร่ตรองว่า อะไรจริง ไตร่ตรองว่า โลกไม่ปรากฏตามความเป็นจริงหมายความว่าอะไร เพราะว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นโลกมีมากมายหลายอย่างแต่ตามความเป็นจริงเป็นเพียงสภาพธรรม ๑ เท่านั้นเล็กน้อยสั้นมากก่อนที่จะเป็นเราที่กระทบแข็ง แตกต่างจากแข็งที่เพียงปรากฏเป็นขณะที่ปัญญาอบรมจนถึงระดับที่รู้แข็งที่ปรากฏตามความเป็นจริง มิฉะนั้นโลกไม่หายไปยังคงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แข็ง

- ด้วยเหตุนี้อริยสัจจ์ ๔ จึงมีสามรอบ ความจริงอันประเสริฐและรอบแรกคือที่เรากำลังสนทนากันขณะนี้ จนกว่าความจริงจะปรากฏในรอบที่สองและรอบที่สามยิ่งลึกซึ้งเพิ่มขึ้น เพราะว่าเมื่อเรากล่าวถึงการกระทบสัมผัสและไม่ใช่รอบที่สอง ไม่มีความใส่ใจในสิ่งเดียวคือแข็งจนกว่าแข็งจะปรากฏ และเมื่อเพียงแข็งปรากฏ ไม่ได้แข็งเท่ากับแข็งที่ปรากฏเมื่อไม่มีความเข้าใจถูก เพราะว่าเพียง ๑ ขณะเท่านั้นชัดเจนอย่างยิ่งว่าเป็นสิ่งหนุึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย ตามเหตุตามปัจจัยและขึ้นกับว่ามีความเข้าใจถูกระดับไหนของวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑ หรือขั้นที่ ๒ หรือขั้นที่ ๓ และนี้คือคำสอนของผู้ทรงตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้นแต่ละคำจริงอย่างยิ่งว่าสามารถรู้ได้และเริ่มต้นที่จะรู้ทีละเล็กทีละน้อย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2568

- (คุณแอน - จำไม่ได้ว่าท่านอาจารย์กล่าวว่าอย่างไรแต่มีความเข้าใจว่าลึกซึ้งกว่าที่เคยคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด)

- แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเข้าใจแค่ไหน ระดับไหน ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงเรื่องวิปัสสนาญาน ฯลฯ แต่ไม่ใช่ขณะที่ประจักษ์แจ้งความจริงเป็นเพียงเงา แต่ขณะที่ไม่ใช่เงาก็เป็นความจริงที่ลึกซึ้งเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีเพียงหนึ่งวิปัสสนาญาณแต่มีหลายขั้น เช่นเดี๋ยวนี้ความเข้าใจคำว่า ธรรม ก็มีหลายระดับ แม้จากการไตร่ตรองพิจารณษในรอบแรก

- และเรากำลังสนทนาถึงเรื่องราวของวิปัสสนาญาณรอบแรกแต่ก็ไม่ใช่ขณะที่เป็นสติปัฏฐานหรือวิปัสสนาญาณจริงๆ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจในขั้นนี้จะมีความเข้าใจว่าขณะนี้ลึกซึ้งได้อย่างไร

- (คุณแอน - ความเข้าใจต้องเจริญขึ้น​)

- เกินกว่าที่จะหวังหรือคิดคาดเดาแต่สามารถเข้าใจได้โดยอาศัยคำ เช่น ธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งหมด ไม่สงสัยเลยว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู หรือคิดนึกทางใจเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ด้วยเหตุนี้มีความเข้าใจขึ้นเท่าไหร่ก็มั่นคงในความเป็นอนัตตาขึ้นเท่านั้น ค่อยๆ มั่นคงเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ด้วยเหตุนี้หนทางจึงลึกซึ้งทั้ง ๔ อริยสัจจะ และนี้เป็นรอบแรกของความเข้าใจ เป็นความลึกซึ้งของธรรม

- เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรจะเทียบกับความเข้าใจความจริงได้เลยว่ามีค่ามากแค่ไหน ที่ค่อยๆ ละคลายทีละเล็กทีละน้อยมากจนกระทั่งไม่รู้เลยว่าละได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับความเข้าใจที่ได้ยินได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมี ด้วยเหตุนี้ไม่สำคัญเลยว่าจะอีกนานแค่ไหนที่ความเข้าใจจะเจริญขึ้น แต่อาจหาญร่าเริงที่ได้เข้าใจความจริง มิฉะนั้นก็มืดบอดอย่างยิ่งแม้มีความจริงเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้

- (คุณสุขิน - เข้าใจว่าที่จะละคลายจริงๆ ก็ต้องเป็นขั้นวิปัสสนาญาณ)

- จะเป็นวิปัสสนาญาณไปได้อย่างไร ไม่จริง

- (คุณสุขิน - ถ้าไม่มีขั้นแรกและขั้นที่สอง ก็ไม่มีขั้นที่สาม)

- แล้วขั้นแรกคืออะไร

- (คุณสุขิน - คือเดี๋ญวนี้ที่กำฃังอบรมเจริญเป็นรอบแรก)

- แล้วความเข้าใจเฉียบแหลมสมบูรณ์พร้อมหรือยัง

- (คุณสุขิน - ยังแต่ดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่ขั้นวิปัสสนาญาณก้ไม่สามารถที่จะละคลายอะไรได้จริงๆ)

- ทันทีที่ได้ยินคำว่า ธรรม มีความเข้าใจว่า ธรรมคืออะไรได้เลยไหม

- (คุณสุขิน - ท่านพระสารีบุตรเข้าใจและประจักษ์แจ้งได้ทันที)

- ขณะนั้นไม่มีความสงสัยในความเป็นธรรมตามความเป็นจริง เหมือนเดี๋ยวนี้ธรรมเป็นธรรม เพียงแค่รู้ว่ามีจริงๆ และการสะสมมาที่จะเข้าใจธรรมแต่ละหนึ่งทีละหนึ่งตามความเป็นจริง จะมีเครื่องมือวัดความเข้าใจได้ไหมว่ามากน้อยแค่ไหน

- (คุณสุขิน - ไม่มี วัดไม่ได้ แต่เข้าใจได้ว่าถ้าไม่มีการละคลายความไม่รู้ด้วยความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยก็จะไม่มีวันถึงจุดนั้น)

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีความเข้าใจเห็นบ้างไหม

- (คุณสุขิน - ไม่) นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าต้องเป็นปัญญาของตนเอง เพราะปัญญาเท่านั้นที่รู้ว่า เข้าใจแค่ไหน ระดับไหนตามความเป็นจริง เราได้ฟังความจริงเรื่องสภาพรู้ที่รู้แจ้งอารมณ์มากมายในชีวิตประจำวันแต่ละขณะ ไม่มีขณะไหนเลยที่จะขาดสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้จนกว่าจะรู้ และเมื่อถึงเวลาที่รู้ ความเข้าใจถึงระดับไหน มากแค่ไหนที่เข้าใจมั่นคงชัดเจนอย่างนั้น

- และเมื่อความสงสัยยังไม่ถูกดับ ความสงสัยก็สามารถเกิดขึ้นขณะไหนก็ได้ เพราะยังมีวิจิกิจฉานุสัย ด้วยเหตุนี้แต่ละคำจึงมีอรรถความหมายที่ส่องให้เห็นถึงความจริงตามความเป็นจริง ขึ้นอยู่กับว่า ความเข้าใจสมบูรณ์พร้อมหรือยัง เพราะว่าเราเพิ่งเข้าใจความหมายของคำที่ได้ยินได้ฟังแล้วความจริงเดี๋ยวนี้มีวิจิกิจฉาไหมขณะที่เห็น ฯลฯ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- ด้วยเหตุนี้จึงเกินกว่าจะไปพยายามทำอะไรด้วยความคิดว่า เราทำได้หรือเราจะทำ ได้เลยเพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัย อดทนแค่ไหนที่จะเข้าใจ ทั้งหมดเป็นไปตามปัจจัย ไม่ใช่ตามความต้องการของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครทำอะไรได้ทั้งนั้น มีเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตนตามเหตุตามปัจจัยเมื่อถึงเวลา

- มีความอดทนเพิ่มขึ้นเป็นวิริยะบารมีเมื่อมีความเข้าใจว่า ธรรมลึกซึ้งแค่ไหน ในสมัยพุทธกาลเมื่อพระโพธิสัตว์ได้พบพระทีปังกรพุทธเจ้าผู้ทรงพยากรณ์ว่าอีกนานเท่าไหร่จะถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ที่ได้ฟังไม่เดือดร้อนเลย ต่างร่าเริงยินดีเพราะเข้าใจ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2568

- ตราบใดที่สภาพธรรมไม่ปรากฏ ไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจชัดเจนในสิ่งที่ได้ฟังเรื่องเห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่เสียง ฯลฯ และนี้เป็นขณะที่ละคลายความสงสัย ความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับกิเลสที่สะสมนานแสนนานในแสนโกฏกัปป์ และนี้เป็นหนทางที่จะละคลายความคิดที่เป็นเราจะพยายามไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อให้เกิดผลต่างๆ นั้นผิดทั้งหมด ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เพราะจริงแล้วไม่มีใคร เป็นเพียงธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

- และนี้เป็นหนทางเดียวที่จะละความติดข้องและความไม่รู้ในขณะที่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรม ใครจะรู้ว่า หนทางลึกซึ้งเพราะหนทางคือ มัคคสัจจะเป็นสัจจะสุดท้ายในอริยสัจจ์ ๔​ อดทน ขันติบารมี ฟังแล้วฟังอีกเป็นหนทางที่จะเริ่มดำเนินไปทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจความจริง

- (คุณสุขิน - ความเข้าใจที่เกิดขึ้นค่อยๆ ละคลายความไม่รู้และความติดข้องแม้จะยังไม่ถึงนิพพาน ยังไม่ถึงโสตาปฏิมรรคที่ดับอนุสัยจริงๆ)

- และนิพพานคืออะไร (คือการดับโดยรอบเพราะไม่มีอะไรเกิดแล้วดับ) คือการที่ความไม่รู้ ความติดข้อง ความเห็นผิดเกิดไม่ได้อีกเลย เป็นกิเลสนิพพานจนกว่าจะถึงขันธนิพพาน

- (คุณแอน - ขันธนิพพานหมายถึงอะไร)

- ไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลย เพราะหลังจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีกรรมเป็นปัจจัยให้เห็น ได้ยิน ฯลฯ เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงจุติจิตของพระอรหันต์

- (คุณแอน - คือปรินิพพาน)

- แต่หลังการตรัสรู้ ยังมีปัจจัยให้ขันธ์เกิดขึ้นจนกว่าจะตาย

- (คุณสุขิน - นิพพานคือ สิ้นสุดการเกิดดับของกิเลส เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงกิเลสนิพพาน เรากล่าวถึงการตรัสรู้ไปตามลำดับ เป็นการดับกิเลสเป็นสมุทเฉทไปตามลำดับขั้น ส่วนขันธนิพพานคือสังขารธรรมไม่เกิดขึ้นอีกเลย

- (คุณแอน - มีความชัดเจนขึ้นว่า ความรู้ในหนังสือกล่าวถึงเรื่องราวความจริง และที่เรากล่าวถึงก็เป็นเรื่องราวของความจริง และค่อยๆ ชัดเจนเพิ่มขึ้นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นต่างจากการพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่เกิดเดี๋ยวนี้)

- (คุณสุขิน - และนั่นเป็นความต่างกันของปริยัติกับการศึกษาในหนังสือ เริ่มที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ)

- (คุณแอน -เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นที่ท่านอาจารย์ได้เตือนมาทั้งหมดถึงเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปสนใจคำต่างๆ แต่ที่สำคัญคือ ความเข้าใจเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่เกื้อกูลอย่างยิ้ง และค่อยๆ ชัดเจนขึ้นๆ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร)

- (คุณสุขิน - หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปริยัติเป็นการศึกษาความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้)

- และอีกนานแค่ไหน เห็นไหม เมื่อเทียบกับความไม่รู้ ความติดข้องและกิเลสทุกประการที่สะสมมานานแสนนานในแสนโกฏกัปป์กับความเข้าใจไม่กี่ขณะในชาตินี้

- (คุณแอน - นับประมาณไม่ได้เลย และไม่สำคัญเลยว่าจะอีกนานเท่าไหร่ที่จะอบรมเจริญปัญญาเพราะสำคัญที่สุดไม่ว่านานแค่ไหน)

- และนั่นไม่ใช่คุณแอนแต่เป็นสัจจบารมี จริงอย่างยิ่ง

- (คุณสุขิน - ท่านอาจารย์ช่วยให้หลายคนไม่เป็นโมฆะบุรุษ แม้ความเข้าใจจะเล็กน้อยแต่ก็ไม่สูญเปล่า)

- สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคือ การช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้เข้าใจความจริง เป็นขณะที่มีค่าที่สุดในชีวิตของทุกคน ไม่ว่าจะได้ยินคำไหนก็ตามเป็นคำที่ส่องให้เห็นถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ต้องอาศัยความเข้าในรอบแรกด้วยมิฉะนั้นจะเข้าใจความรู้ทุกข์ทางกายว่าไม่ใช่เราได้อย่างไร ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่คิด แต่ละหนึ่งต่างกันโดยปัจจัย และไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

- (คุณแอน - ดิฉันเคยถูกถามว่า ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แล้วไปไหน)

- ดับแล้วตลอดไปไม่กลับมาอีกเลย เหมือนไฟ

- (คุณแอน - และสะสมแล้วเป็นอุปนิสัย ตอนนี้มีท่านอื่นๆ อยู่ด้วยก็เป็นโอกาสที่จะได้ถามคำถาม คุณโซฮานและคุณไปยัล ถ้าไม่มีอะไรจะถามก็ไม่เป็นไร ดิฉันแค่อยากให้โอกาส ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อวานเป็นประโยชน์มากๆ ในความลึกซึ้งและละเอียดของเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็น สภาพที่เห็นเห็นแต่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา และสิ่งที่ปรากกทางตาก็ไม่ใช่เห็นแต่ท่านอาจารย์กล่าวละเอียดกว่านั้น เห็นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาแต่ไม่รู้ตัวเอง ไม่ใช่เห็นที่รู้เห็น)

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2568

- สภาพที่มีจริง ๑ ขณะที่เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ๑ ขณะก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกจนกว่าจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแต่ละขณะที่เห็นดับไปแล้วไม่กลับมาเกิดอีกเลย และสิ่งที่มีจริงที่เป็นอารมณ์ที่เราคิดถึงอยู่ตลอดเวลา เป็นชีวิตประจำวันแต่ไม่รู้ความจริง

- (คุณสุขิน - หน้าที่ของเห็นก็คือ เห็นเท่านั้นไม่ทำอย่างอื่นและรู้อารมณ์เดี๋ยวเท่านั้นไม่รู้อารมณ์อื่น)

- (คุณแอน - และถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นก็ไม่มี และถ้าเห็นไม่เกิด สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง)

- แล้วเรากล่าวถึงเห็น กล่าวแล้วกล่าวอีกๆ ไปทำไม เพื่อให้ไม่ลืมว่า ไม่มีใครทั้งสิ้นจนกว่าจะถึงขณะที่มีความเข้าใจถูกว่าสิ่งที่ได้ฟังเป็นเพียงความเข้าใจในขั้นปริยัติเรื่องเห็น เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นปรากฏก็ไม่ใช่แค่คำที่ได้ยินได้ฟังเรื่องเห็นเหมือนที่เคยฟัง แต่ถ้าไม่ความเข้าใจในลักษณะของเห็น แม้เห็นปรากฏก็ไม่รู้

- ด้วยเหตุนี้บางคนคิดว่า ทำไมกล่าวถึงแต่เรื่องเห็นกล่าวแล้วกล่าวอีกซำ้ๆ ก็เพื่อเป็นปัจจัยให้ไม่ลืมว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับแต่ละขณะ กล่าวเรื่องเห็นตลอดเพื่อปลูกฝังให้มั่นคงเป็นสติไม่หลงลืม ขณะที่เข้าใจความจริง ไม่ลืมที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ เช่น เดี๋ยวนี้มีคุณแอนเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และสิ่งที่ปรากฏให้ให้จะรู้ไม่ได้เลยถ้าปราศจากการได้ยินได้ฟังความจริงเพื่อเข้าใจว่า อะไรที่ถูกเห็นที่ปรากเป็นนิมิตคือ เครื่องหมายของสิ่งนั้น

- สิ่งที่ถูกเห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดเดียว จะเป็นใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ ต้องมากมายกี่ขณะกว่าที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นรูปรทรงสัณฐานต่างๆ เห็นไหม เพราะฉะนั้นกล่าวถึงเห็นอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นเป็นปัจจัยให้ความเข้าใจมั่นคงเพิ่มขึ้นๆ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นสามารถรู้ได้เพราะกำลังมีกำลังปรากฏ ไม่ใช่แค่เพียงพูดถึง แต่กล่าวถึงบ่อยๆ เพื่อให้ไม่ลืมว่า สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงได้ แต่ไม่ใช่ตามที่หรือเมื่อต้องการเลย

- แต่เมื่อประจักษ์แจ้งความจริง เราสามารถกล่าวถึงสภาพธรรมอื่นๆ เพื่อเข้าใจลักษณะของธรรมนั้นๆ ที่ไม่ใช่แค่เพียงพูดคำ ยกตัวอย่างเช่นคำว่า สติ เห็นไหม ดูเหมือนว่าชัดเจนกับความหมายของคำนี้ แต่เมื่อมีสติเหมือนสภาพธรรมอื่นๆ ที่กำลังมี สามารถที่จะรู้จักสติตามความเป็นจริงได้ไหม หากไม่มีความเข้าใจถูกที่อบรมเจริญอย่างมั่นคงก็ไม่มีปัจจัยที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ แต่เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงก็เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะถึงเฉพาะลักษณะของแข็ง ของเสียง ของได้ยิน โดยไม่คาดคิดมาก่อนทันที

- ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจในความเป็นอนัตตาต้องมั่นคงขึ้นๆ เพื่อละความคิดว่าเป็นเราหรืออัตตา เป็นหนทางเดียว ดังนั้นไม่รีบด่วนที่จะไปเข้าใจว่ามีจิตเท่าไหร่ มีเจตสิกเท่าไหร่ แต่ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เช่น สติ เราได้ฟังคำนี้มามากแต่ไม่มีความเข้าใจความจริงของสติ คือ ขณะที่ไม่ลืมที่จะเป็นไปในกุศล เช่น ขณะที่ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เห็นไหมเป็นสติ แต่ถ้าไม่ให้ก็เป็นขณะที่ไม่คิดถึงคนอื่น

- แต่ขณะที่คิดที่จะให้กับผู้ที่ต้องการหรือขาดแคลนเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงในชีวิตประจำวันว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการศึกษาธรรมจริงๆ ที่กำลังมีเพื่อเข้าใจลักษณะของธรรมว่า ไม่มีใคร ถ้าสติเกิดอกุศลก็เกิดไม่ได้แม้การคิดที่จะฟังธรรมก็ต้องอาศัยสติจึงเกิดขึ้น

- ทั้งหมดเป็นธรรม ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจความจริงที่แตกต่างกันหลากหลายในชีวิตประจำวัน เช่น ความรู้สึกก็ต่างจากสภาพธรรมอื่นๆ ที่มีในชีวิตประจำวัน เช่น เรารู้สึกเศร้ามาก เห็นไหม ไม่ใช่เราแต่ความจริงของความเศร้าโศรกมีจริงๆ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับ อยู่ไม่นาน ไม่ว่าอะไรที่เกิดแล้วต้องดับตามความเป็นจริงทันที ฟังอย่างนี้เพื่อละความความคิดที่จะไปทำอะไรเพื่อให้เข้าใจหรือเพื่อตรัสรู้ เป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีความรู้ในรอบแรกและรอบที่สอง ไม่มีทางที่จะมีรอบที่สามที่ประจักษ์แจ้งความจริงตรงตามความเป็นจริงได้เลยเพราะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

- (คุณสุขิน - ด้วยความเกื้อกูลของท่านอาจารย์ เริ่มที่จะเห็นว่า การไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดกับการอบรมเจริญความเข้าใจตามปกตินั้นต่างกันมาก เหมือนกับว่าทางหนึ่งถูกต้องแต่อีกทางหนึ่งผิดอย่างชัดเจน)

- เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกคุ้มครองให้ผู้นั้นพ้นจากหนทางที่ผิดเพราะว่า มีความมั่นคงว่าอะไรคือหนทางถูก ไม่เปลี่ยนเลยแม้ว่าขณะเอียดลึกซึ้งและยากแค่ไหนก็ตาม

- (คุณสุขิน - สิ่งที่อันตรายก็คือ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูก ความเห็นผิดดูเหมือนว่าจะถูกในความคิดของบุคคลนั้นซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง)

- และนั่นเป็นความเข้าใจถูกพร้อมด้วยหิริโอตตัปปะและเจตสิกอื่นๆ การเห็นภัยของอกุศลก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่เข้าใจโทษภัยของอกุศลไม่ว่าระดับไหน และสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติเกิดไม่หลงลืมที่จะเป็นไปในกุศลแม้ขณะเดียว เป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง

- (คุณสุขิน - เพราะฉะนั้นคุณแอน ใครก็ตามที่กล่าวเตือนเราอย่างนั้นเป็นกัลญาณมิตร เพื่อให้เข้าใจว่าเหตุใดเราจึงคิดถึงคุณฮัง ท่านอาจารย์เป็นเพื่อนที่ดีที่คอยเตือนอย่างยิ่งว่า ควรเข้าใจถูกในความคิดถึงคุณฮังที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง)

- (คุณแอน - ทั้งหมดเป็นธรรม ทุกขณะเป็นธรรม มีโลภะมาก บางครั้งก็มีความเห็นผิด บางครั้งคิดถึงความเห็นผิดและคิดถึงคุณฮัง)

- (คุณสุขิน - ความเห็นผิดเป็นอาสวะด้วย เป็นทิฏฐาสวะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมากกว่าที่เรารู้)

- (คุณแอน - ไม่ได้คิดแบบนั้นแต่ก็จริงอย่างยิ่ง ความจริงก็คือเมื่อความเห็นผิดเกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาคือไม่มีความเข้าใจเมื่อความเห็นผิดปรากฏ เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วนเพราะนับไม่ได้ สรุปว่าความเห็นรผิดเกิดขึ้นมากๆ เพราะว่าชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ลืมเสมอว่า ไม่มีเรา คิดว่าเป็นคน)

- (คุณสุขิน - คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา และเตือนให้นึกถึงถิรสัญญาว่าในชีวิตประจำวันยังไม่มีสัญญาที่มั่นคง มีแต่อัตตสัญญา)

- ไม่ทราบมีคนไทยอยู่ที่นั่นที่อยากจะเข้าใจธรรมข้อไหนมั้ย เพราะคุณแอน คุณสุขินก็เข้าใจภาษาไทยและพูดภาษาไทยด้วย

- (คุณเมตตา - มีเมตตาฟังอยู่ด้วย พอเข้าใจท่านอาจารย์)

- มีธรรมข้อไหนที่อยากจะเข้าใจขึ้นไหมเพราะว่า เราพูดกันแต่เพียงธรรมที่กำลังปรากฏนิดหน่อยแต่ยังมีมากในพระไตรปิฎกที่อยากจะเข้าใจมากขึ้น คุณเมตตาจะได้ช่วยทำให้คนอื่นได้สนใจได้เข้าใจด้วย มีธรรมข้อไหนที่อยากจะเข้าใจขึ้น

- (คุณเมตตา - ก็ค่อยๆ เข้าใจถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้)

- เพราะฉะนั้นฟังมาแล้วทั้งหมดมีธรรมอะไรที่สมควรจะพูดถึงให้เข้าใจขึ้นหรือเปล่า

- (คุณเมตตา - ก็มีเจตสิกต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากที่ได้ฟังท่านอาจารย์ก็เข้าใจเจตสิกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน)

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2568

- มีหัวข้อหรือธรรมอะไรไหมที่อยากจะพูดถึงให้เข้าใจขึ้น คุณสุขินมีไหม

- (คุณสุขิน - เรื่องเดิมที่เราคุยกันวันนี้ก็คือ โคจร อุปนิสสยโคจร อารักขโคจร อุปนิพันธโคจร ก็ดี)

- เพราะฉะนั้นเราเข้าใจทุกคำเช่นคำว่า อารัมมณะ โคจร ว่ามีอะไรที่ต่างกันทั้งๆ ที่ทั้งหมดเป็นอารัมมณะใช่ไหม เพราะฉะนั้นอารัมมณะนี่แหละยังไม่เป็นโคจรถ้าไม่มีความเข้าใจในความเป็นจริงของอารัมมณะ เพราะฉะนั้นเป็นโคจรเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า อารมณ์อย่างนี้ที่เป็นอารมณ์ของความไม่รู้กับอารมณ์เหล่านี้เริ่มเป็นอารมณ์ของความรู้ ต่างกันแล้วใช่ไหม

- (คุณสุขิน - ต่างกันตรงรู้กับไม่รู้)

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็นเป็นอารัมมณะหรือโคจร เราสามารถจะรู้ได้เมื่อมีปัญญา

- (คุณสุขิน - เห็นเป็นอารัมมณะเมื่อไหร่ ขณะนั้นเป็นโคจรอยู่แล้ว)

- สีเป็นอารัมมณะทุกวันจนกว่ามีปัญญาเกิดขึ้น จึงเริ่มเป็นอุปนิสัยค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คนไม่ใช่รูปร่างสัญฐาน เป็นสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น เห็นไหม ละเอียดลงไปอีกเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏเป็นคนเป็นเก้าอี้ (ตอนนั้นเป็นโคจร)

- ขณะที่เริ่มรู้ว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่เป็นอะไรเลยนอกจากเป็นสิ่งที่กระทบตาได้ นั่นเริ่มที่จะเป็นโคจร เริ่มเท่านั้นซึ่งจะต้องเป็นนิสัยไม่ลืมๆ ๆ จนกระทั่งเป็นนิสัยชินที่จะมีกำลังที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นอัตตาไม่ใช่อนัตตา ขณะไหนเป็นอนัตตาเมื่อไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้อีกต่อไป

- เพราะฉะนั้นฟังธรรมต้องคิด แล้วก็คิด แล้วก็คิด ไตร่ตรองแล้วก็เริ่มเข้าใจตลอดหมดจึงจะชื่อว่า เป็นความเข้าใจอารัมมณะกับโคจร เพราะฉะนั้นอารมณ์ของสติปัฏฐานเป็นโคจร ถ้าไม่เป็นสติปัฏฐานก็เป็นอารัมมณะถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจว่า โคจร ๓…..

- (คุณสุขิน - ท่านอาจารย์ ตรงนี้ไม่ค่อยแน่ใจ อุปนิสสยคิดว่า น่าจะมีหลายขั้นหลายตอนเหมือนกัน คือเราพูดถึงสติปัฏฐานก็เป็นอุปนิสสยในนัยที่ว่า ยังไม่ถึงวิปัสสนา เพราะฉะนั้นขั้นปริยัติในเมื่อยังไม่เป็นสติปัฏฐานก็เป็นอุปนิสสยไม่ได้)

- เป็นความเข้าใจเรื่องอารัมมณะกับโคจรเท่านั้น แต่ขณะนี้เป็นอารัมมณะหรือโคจร ปัญญารู้ได้ใช่ไหม

- (คุณสุขิน - แต่ปัญญาขั้นไหนเกิดตอนนั้นก็เป็นโคจรมิใช่หรือ)

- ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่า อารมณ์นั้นเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาเพราะว่า อารมณ์ไม่เปลี่ยน สิ่งที่กระทบตาไม่เปลี่ยนแต่ความเข้าใจมีไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจ อันนั้นก็เป็นอารัมมณะของคนทั่วไปแต่เวลาที่สติปัฏฐานเกิดเพื่อที่จะรู้อารัมมณะที่เป็นรูปารัมมณะเท่านั้นจริงๆ ขณะนั้นเพราะฟัง มีความเข้าใจความต่างของอารัมมณะกับโคจร ถ้าไม่ได้ฟังไม่รู้ว่า อารัมมณะต่างกับโคจรก็เป็นแค่อารัมมณะ

- (คุณสุขิน - ถ้าไม่เข้าใจ เมื่อสติปัฏฐานเกิดเป็นอารักขาด้วย อารักขโคจรด้วย ทั้งอารัมมณะทั้งอารักขา)

- เพราะฉะนั้นอารัมมณะไม่ได้ต่างจากโคจรเลย อารัมมณะเปลี่ยนไม่ได้แต่เมื่อมีความเข้าใจในความเป็นอารัมมณะหนึ่ง เห็นเป็นเห็น สีเป็นสี ขณะใดที่กำลังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอารมณ์โดยลักษณะของสิ่งนั้นต่างกับขณะที่ไม่รู้เลยว่า ขณะที่สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ความจริงเป็นแค่สิ่งที่กระทบตาและจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งลักษณะนั้น แต่จิตไม่สามารถจะเข้าใจในความไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

- เพราะฉะนั้นสติเองก็ไม่ใช่ความเข้าใจ เราเรียนเรื่องสติเจตสิก เรื่องปัญญาเจตสิกให้รู้ว่า สติเจตสิกไม่ใช่ปัญญาเจตสิก ปัญญาเจตสิกไม่ใช่สติเจตสิก ขณะที่ฟังรู้เรื่องการรู้เรื่องการเข้าใจเป็นปัญญา แต่ขณะนั้นก็มีสติที่สามารถที่จะไม่ไปคิดหรือระลึกเรื่องอื่นที่เป็นอกุศล ขณะที่กำลังฟัง สติระลึกที่เสียงที่ได้ยิน คำที่มีความหมายจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดแล้ว พูดอีกละเอียดขึ้นอีกจนกว่าจะเป็นความเข้าใจที่มั่นคงจนกระทั่งเป็นปัจจัยให้สติระลึกแล้วเข้าใจอย่างละเอียดตามที่พูดจึงจะเป็นสติปัฏฐานเป็นอริยสัจจ์รอบที่ ๒ ปฏิปัตติ จนกระทั่งสามารถเป็นอริยสัจจ์รอบที่ ๓ ประจักษ์ความจริงที่เป็นอย่างนั้น ปฏิเวธแทงตลอดในความเป็นอย่างนั้นซึ่งขณะนี้เป็นอย่างนั้นแต่ไม่รู้ไม่แทงตลอดไม่ว่าอะไรเที่เราพูดแล้ว เราพูดอีก เราพูดอีก เพื่อเข้าใจขึ้นอีก เพื่อเป็นปัจจัยให้ค่อยๆ ถึงลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

- เพราะฉะนั้นการที่เราเข้าใจเบื้องต้นแม้ว่าต่างระดับขั้นปริยัติมีลักษณะที่ต่างกับปฏิบัติกับปฏิเวธ เราก็ต้องพูดอีกจนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่ใช่เรา เราไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕​ พรรษา ทุกเรื่องของทุกธรรม

- เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ฟังเพียงแค่ ๒-๓ คำว่า โคจร อุปนิสสยโคจร อารักขโคจร อุปนิพัธโคจร เราเริ่มรู้เรื่องของโคจรเพื่อที่จะรู้ว่า ขณะไหนเป็นอารัมมณะ ขณะไหนเป็นโคจร อุปนิสสยโคจร

- ถ้าเรามีความเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เห็น มั่นคง อันนี้เป็นโคจรที่จะต้องระลึกรู้ แต่หมายความว่า เราเริ่มรู้ความต่างว่า ไม่ใช่เห็นเป็นเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแต่รู้ว่า ปัญญาที่สามารถรู้ว่า ลักษณะของเห็นที่เราพูดถึงเป็นอารมณ์ของปัญญาที่จะรู้จึงเป็นอุปนิสสยโคจรเพราะก่อนนั้นไม่เคยรู้เลยว่า จะต้องรู้เห็นใช่ไหม ไม่เคยรู้เลยว่า จะต้องรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่นก ไม่ใช่คน ไม่ใช่อะไรเลย เป็นสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น เท่านั้นเห็นไหม

- เราลืมไหมจนกว่าจะฟังอีก เป็นสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น และจักขุปสาทก็เล็กนิดเดียว สิ่งที่กระทบตาจะใหญ่โตเป็นนก เป็นคน เป็นบ้านไม่ได้ ต้องเป็นเฉพาะสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ เพราะฉะนั้นจิตเห็นจริงๆ เห็นเฉพาะสิ่งที่กระตาน้อยมากแค่ไหน

- เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่กำลังฟังเป็นอุปนิสสยโคจรให้รู้ความต่างของอารัมมณะที่ไม่มีความเข้าใจเลยกับขณะที่เริ่มรู้ว่า สิ่งที่เป็นอารมณ์ทุกวันเป็นสิ่งที่สามารถจะอบรมให้เข้าใจความจริวได้ จึงมีอุปนิสัยฟังอีกๆ ๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจความเป็นโคจรที่จะทำให้ปัญญาสามารถเกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่เป็นอารมณ์ธรรมดาได้

- เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงคำไหนก็ได้ลึกลงไปอีกๆ จนกว่าความเข้าใจจะมั่นคงเป็นอริยสัจจธรรมรอบที่หนึ่ง เห็นไหม ยากไหมกว่าที่จะอดทนพอที่เมื่อไหร่อริยสัจจะรอบที่ ๒ จะเกิดโดยความเป็นอนัตตาทันทีผุดขึ้นเป็นอนัตตา คุณแอนเข้าใจได้ใช่ไหม (ได้)

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2568

- เห็นไหมคำที่เราพูดแล้ว เราพูดอีกได้จะได้ไม่ลืมว่า ขณะนี้เป็นอารัมมณะหรือเป็นโคจร ถ้าไม่มีสติและความเข้าใจก็เป็นอารัมมณะธรรมดา แต่นี้เป็นหนทางที่จะรู้ความจริงโดยรู้ถูกต้องในอารมณ์ที่ปรากฏเป็นอารมณ์ของพระบิดาคือ อารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- เพราะฉะนั้นคนที่รู้ตามพระองค์เป็นคนของพระองค์ทำกิจอย่างพระองค์ได้เคยกระทำแล้ว รู้ความจริงอย่างที่พระองค์ได้ทรงรู้แล้วจึงเป็นคนของพระองค์ที่เข้าใจคำของพระองค์ประพฤติตามคำของพระองค์

- โคจร ๓ คือ อารมณ์แต่เป็นอารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวก ถูกไหม ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวกก็เป็นอารมณ์ธรรมดาแต่เป็ฯโคจร หมายความว่า กว่าจะเป็นอุปนิสัยที่คุ้นเคยที่จะรู้ความจริง ไม่ลืม เพราะฉะนั้นก็เป็นอารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ถ้าพูดถึงอุปนิสสยโคจรจะเป็นอารมณ์ของคนอื่นไม่ได้ คนที่ไม่รู้เรื่องเลยจะบอกว่า นี้เป็นยอุปนิสสยโคจรไม่ได้แต่เป็นอารัมมณะได้

- (คุณสุขิน - เท่ากับว่าถ้าเพิ่งเริ่มฟังเพิ่งเข้าใจเบื้องต้นก็ไม่สามารถจะเป็นอุปนิสสยโคจรก็ยังเป็นอารัมมณะ ถูกไหม)

- แต่พอรู้ว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แหละรู้ได้ควรรู้ นั่นเป็นโคจร อุปนิสสยโคจร เพราะถ้าไม่เกิดความคิดอย่างนี้ ความเข้าใจอย่างนี้ จะไม่มีการเข้าใจอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเป็นอารมณ์ะรรมแต่โคจรเป็นอารมณ์เฉพาะของปัญญาที่สามารถที่จะเริ่มเข้าใจความจริงของอารมณ์ธรรมว่า เกิดดับ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สิ่งของอย่าวที่เคยเป็น

- เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึง อุป มีกำลัง นิสสย ที่อาศัยบ่อยๆ จนชินจนเป็นสิสัยเป็นอุปนิสสย นิสัยที่มีกำลังที่ไม่ลืมว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาจึงจะเป็นอุปนิสสยโคจร อีกนานมากมั่นคงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะอารักขาไม่ตกไปทางฝ่ายที่เคยคิดแต่เรื่องอกุศลโดยไม่รู้ เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ไปตลอดชีวิต ต่างกันแล้วใช่ไหม

- (คุณเมตตา - ยิ่งฟังเรื่องโคจรจากเมื่อวานนี้ที่ได้ฟังและวันนี้ก็ได้ฟังก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้นเพราะว่า ถ้าต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่จำว่า โคจร ๓ นี้มีอะไรบ้างและรู้ว่าอันที่ ๑ คืออะไร อันที่ ๒ คืออะไร อันที่ ๓ คืออะไร แล้วก็ลืมไป แต่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจเริ่มจากว่า แม้ขั้นฟังขั้นปริยัติรอบแรกก็ต้องเริ่มจากการฟังไตร่ตรองให้เข้าใจ อะไรเป็นอารมณ์ อะไรเป็นโคจร ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างเห็น เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นจะได้ยินเสียงก็ไม่ได้ เสียงจะปรากฏกับได้กลิ่นก็ไม่ได้ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจความละเอียดของแต่ละคำ ก็ต้องเริ่มจากความเข้าใจตรงนี้ แม้ขั้นที่จะฟังไตร่ตรองให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจนเป็นอุปนิสัย ค่อยๆ ฟังจนเป็นอุปนิสัยว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากกทางตาไม่ใช่สัตว์บุคคล ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรองสิ่งที่ปรากฏทางตาจนกระทั่งปัญญาค่อยๆ อบรมความเข้าใจค่อยๆ เจริญขึ้น แม้ขั้นฟังความเข้าใจก็รู้ ก็ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นที่เป็นอารมณ์กับปัญญาว่า ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา และทุกอย่างก็ต้องค่อยๆ ไตร่ตรองทีละทางๆ จนมั่นคงถ้าปราศจากฟังแล้วไตร่ตรองในแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏขณะนี้ไม่ว่าสี ไม่ว่าเสียง ให้เป็นอุปนิสัยปัญญษขั้นต่อไปก็เกิดไม่ได้จะเป็นอุปนิพันธไม่ได้เพราะฟังไตร่ตรองค่อยๆ เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากกทางตา ค่อยๆ เข้าใจไป ขณะที่ค่อยๆ เริ่มเข้าใจก็ค่อยๆ มั่นคง ขณะนั้นก็ค่อยเป็นอุปนิสสยโคจรแก่ปัญญา ค่อยๆ เข้าใจในอารมณ์แต่ละอย่างที่กำลังปรากฏ ก็จะเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ กราบเท้าท่านอาจารย์)

- เห็นไหม คำเดียวเรื่องเดียวแต่ค่อยๆ ฟังแล้วฟังอีกๆ จนไม่ใช่ความต่างของอารมณ์ อารมณ์เป็นอย่างไหนต้องเป็นอย่างนั้น แต่ปัญญษที่เข้าใจกับไม่มีปัญญาที่เข้าใจต่างกันในอารมณ์นนั้น คนที่ไม่มีความเข้าใจก็คิดว่ามีคนจริงๆ มีบ้านจริงๆ มีภูเขาจริงๆ มีโลกจริงๆ สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนั้นๆ ตามความคิดที่ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

- แต่เมื่อมีความเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกระทบตาแล้วทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น ถ้าไม่ความรู้อย่างนี้อารมณืก็เป็ฯอารมณ์ของสุนัข ของแมว ของอะไรก็ได้ จิตไหนก็ได้ที่เกิดขึ้นรู้ แต่เริ่มเป็นอารมณ์ที่สมควรจะอบรมให้มีความเข้าใจจริงๆ ที่มั่นคงเป็นนิสัยการคุ้นเคยที่มีกำลังทำให้ไม่ลืมสิ่งที่ได้ฟังที่เป็นความจริงว่า เห็นเกิดแล้วดับชั่ว ๑ ขณะรู้สิ่งที่กระทบตาแล้วดับทั้งเห็นและสิ่งที่กระทบตา

- เพราะฉะนั้นอารมณ์คือสิ่งที่ปรากฏนั้นแหละเริ่มเป็นโคจรของปัญญาต้องรู้ว่า โคจรหมายความถึงอารมณ์ของปัญญาตามลำดับขั้น ถ้าไม่รู้เลยก็เป็นอารมณ์ธรรมดาแต่พอรู้อารมณ์ของปัญญาที่รู้ถูกต้องว่า เป็นเพียงสิ่งที่กระทบตา ไม่ใช่อัตตาเก้าอี้ อัตตาขวด สิ่งหนึ่งสิ่งใดอีกต่อไปจนกว่าจะเป็นอุปนิสัยที่มีกำลัง

- เพราะฉะนั้นอุปนิสัย อุปนิสสยดคจรคุ้นเคยกับสิ่งที่ปรากฏโดยความเข้าใจถูกต้องจนกว่าจะเป็นนิสัยที่มั่นคงไม่เปลี่ยนว่า เห็นเป็นเห็น สิ่งที่กรทบตาเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตา นี้คือความลึกซึ้งไม่ใช่เพียงชื่อที่ต่างกัน

- เพราะฉะนั้นคำว่า โคจร หมายความถึงอารมณ์เฉพาะที่เป็นอารมณ์ของปัญญาโดยนัยของอภิธรรม แต่โคจรที่ไปตามพระวินัยคือ ที่ๆ เหมาะสมเป็นโคจร แต่ถ้าที่ๆ ไม่เหมาะสมที่ภิกษุควรจะไปก็เป็นอโคจรไม่ใช่ที่ๆ ควรไป

- เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจปรมัตถความเป็นสิ่งนั้นแล้ว ไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยใดก็สามารถจะรู้ได้ว่า เฉพาะในที่นั้นหมายความถึงอะไร เฉพาะที่เป็นอุปนิสสยโคจร อารักขโคจร อุปนิพันธโคจร ต้องหมายถึงอารมณ์ของปัญญาที่เริ่มคุ้นเคยกับอารมณ์นั้น

- เพราะฉะนั้นการอ่านหรือการได้ยินแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธตรัสความลึกซึ้งละเอียดมากและไม่ใช่มี ๒-๓ คำ ไม่ว่าเราอ่านเรื่องอะไรเราสามารถที่จะสนทนาให้เข้าใจลึกซึ้งแตกฉานในคำนั้นได้ นี้คือประโยชน์ของการสนทนาธรรม นอกจากโคจร ๓ ที่เข้าใจมั่นคงขึ้นแล้วมีอะไรที่ทุกคนอยากจะทราบความละเอียดเพิ่มขึ้นไหม

- (คุณสุขิน - ตอนที่คิด เข้าใจว่าอารมณ์เป็นบัญญัติและบัญญัติก็ไม่ปรากฏเพราะว่าไม่มีจริง แต่คิดก็ไม่ปรากฏ ที่ปรากฏก็แล้วแต่ว่าคิดกุศลอกุศล ถ้าคิดด้วยโทสะ โทสะก็มีปรากฏ โลภะปรากฏ หรือว่าสติปถ้าเกิดกับกุศลสติก็อาจจะปรากฏ แต่ว่าตัวคิดมันไม่ปรากฏเลย

- เหมือนเห็นไม่ปรากฏใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงมีความเข้าใจว่า ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตเป็นภายในเป็นหทยในที่สุด ไม่อยู่ที่ห่างไกลเลยและเห็นทั้งวันได้ยินทั้งวันแต่ไม่รู้ว่าคิดไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือเป็นอารมณ์ที่คิดแต่ตัวคิดเป็นธาตุรู้แจ้งในสิ่งที่เป็นอารมณ์ คิดอะไรละเอียดมั้ย

- (คุณสุขิน - แต่อย่างนั้นเข้าใจอย่างนี้ก็เป็นความเข้าใจระดับหนึ่งใช่ไหม)

- ปริยัติไง ปริยัติแน่นอนและถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ไม่มีวันที่จะไม่ลืมที่จะรู้ว่า ยังไม่รู้จักคิด เพียงแต่พูดถึงคิด เพียงแต่พูดถึงเห็น เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความต่างกันของอริยสัจจะรอบที่ ๑ กับรอบที่ ๒ ถ้าเข้าใจแล้วจะไม่ลืมเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
prinwut
วันที่ 17 ส.ค. 2568

- (คุณเมตตา - การอบรมเจริญปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ได้สนทนากันถึงเรื่องโคจร ๓​ ขณะที่ค่อยๆ ฟังไตร่ตรองในสิ่งที่กำลังมีขณะนี้อย่างละเอียดให้เข้าใจแต่ละคำจนเลียดว่า สิ่งที่กำลังปรากกไม่ว่าจะสี เสียง กลิ่น รส แข็ง เห็น ได้ยิน หรือคิด หรือโกรธ หรือแม้โลภะ ฯลฯ ทุกอย่างที่กำลังมีขณะนี้ ก็ต้องค่อยๆ ไตร่ตรองให้เข้าใจเป็นอุปนิสัยว่า ถ้าเข้าใจพวกนี้ก็เป็นอารมณ์ของปัญญาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรขณะนี้ที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะคิด หรือว่าโกรธ ก็จะเป็นอารมณ์ของปัญญาได้แม้ในขั้นฟัง)

- เพราะฉะนั้นมีนิสัยอย่างนี้หรือยัง

- (คุณเมตตา - ก็ค่อยๆ เริ่ม ค่อยๆ ที่จะไตร่ตรองเข้าใจในแต่ละคำและค่อยๆ เข้าใจถึงความลึกซึ้งของธรรม ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถรู้ได้แน่นอนอีกแสนไกล)

- แต่มีความมั่นคงไหมว่า ปัญญาไม่รู้อื่นนอกจากรู้สิ่งที่เป็นอารมณ์ตามธรรมดาที่เคยรู้แต่ขณะที่ที่เคยรู้ไม่เข้าใจความจริงจนกว่าจะมีนิสัยไตร่ตรองความจริงของสิ่งที่เป็นอารมณ์จนกระทั่งเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นนิสัยนี้มีไหมเริ่มจะมีไหม หรือยังน้อยมาก ถ้ายังน้อยมากก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริง ก็เป็นแค่เห้นคนเห็นอะไรเหมือนเดิมทุกชาติ

- (คุณเมตตา - เมื่อค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรองถึงสิ่งที่มีจริงขณะนี้ และแต่ละคำที่ท่านอาจารย์ได้เกื้อกูลให้เข้าใจในชีวิตประจำวันก็เริ่มที่าจะไตร่ตรองเพียงแค่สิ่งที่ปรากกเท่านั้นที่จะปรากฏกับปัญญาซึ่งเป็นอารมณ์ของพระบิดาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสและทรงแสดงว่าเป็นอารมณืที่ควรจะเข้าใจอย่างยิ่ง)

- เพราะฉะนั้นขณะนั้นเริ่มรู้ความต่างจของโคจรกับอารัมมณะใช่ไหม อารมณ์เฉพาะที่ปัญญาเกิดขึ้นรู้จะต้องเป็นอุปนิสัยที่มีกำลังคุ้นเคยกับการที่จะเข้าใจว่า ปัญญารู้อะไร

- (คุณเมตตา - เริ่มค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่า ปัญญาต้องรู้สิ่งที่มีจริงเท่านั้น ไม่สามารถจะรู้อย่างอื่นได้ที่ไม่จริง)

- แล้วรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง

- (คุณเมตตา - เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง เริ่มเข้าใจความต่างว่า เป็นอารมณ์ธรรมดากับอารมณ์ของความเข้าใจ)

- (คุณสุขิน - เริ่มนี้เกิดจากนิสัยที่ค่อยๆ เพิ่มแต่เริ่มก็ยังไม่เป็นอุป)

- ยังไม่มีกำลังจนกว่ามีกำลัง แม้ขณะไหนก็เกิดได้ รู้ได้ว่า นี้แหละเป็นสิ่งที่ยังไม่รู้และจะต้องรู้ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริงที่เป็นประโยชน์มากกว่าจะค่อยๆ เป็นนิสัยที่อาศัยเพราะฟังบ่อยๆ ไม่ลืมไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคงเป็นอุปนิสสยโคจร ไม่สงสัยในขณะนั้นเป็นโคจรเพราะขณะนั้นเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริง ต่างกับขณะที่ไม่ได้เข้าใจ ไม่ได้เริ่มก็เป็นแค่อารัมมณะปกติธรรมดา มิฉะนั้นจะไม่มีคำว่า โคจร ต้องเป็นอารมณ์ของปัญญา

- อารมณ์เดิมแต่ต่างที่เริ่มรู้ความจริงว่า ความจริงของอารณ์นั้นคืออะไร ไม่ใช่คน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาหรือเป็นเพียงสิ่งที่ถูกเห็นเท่านั้นแต่ละขณะสั้นมากเร็วมาก เห็นไหมแม้แต่เพียงเรื่องอารมณ์มีทั้งคำว่า อารัมมณะ และมีทั้งคำว่า โคจร ความหมายก็ต่างกัน

- (คุณสุขิน - ธรรมมีประโยชน์มาก เราฟังปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และ สุตตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา ฟังสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ และวันนี้มาฟังอุปนิสสยโคจรนี้คนละนัยกันเลยแต่เป็นประโยชน์มาก)

- แสดงถึงพระมหากรุณาทรงอนุเคราะห์ด้วยการเข้าใจของจริงโดยนัยประการต่างๆ ตามความเป็นจริงที่ลึกซึ้งเป็นนิสัย เป็นอุปนิสัยที่มีกำลังที่จะไม่สนใจอย่างอื่นเพราะไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์เท่ากับการรู้ความจริงที่ลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้และรู้ได้เฉพาะตนคนอื่นจะเอามาให้ไม่ได้เลย

- หน้าที่พูดเป็นของผู้พูด หน้าที่ฟังเป็นของผู้ฟังที่จะไตร่ตรองความละเอียดความลึกซึ้งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ก่อนจะแสดงธรรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จงฟัง จงใส่ใจให้ดี ท่านพระสารีบุตรท่านก็กล่าวอย่างนี้เวลาที่ท่านจะสนทนาธรรมกับพระภิกษุ

- เพราะฉะนั้นไม่ว่ากาลไหนที่เราจะพูดถึงธรรมสิ่งที่มีจริง จงฟังไม่ใช่ไปคิดเรื่องอื่น จงใส่ใจให้ดีในคำที่ได้ฟังว่า เป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน อะไรผิด อะไรถูก เป็นหน้าที่ของผู้ฟัง หน้าที่พูดเป็นหน้าที่ของผู้ที่กล่าวความจริงแต่ผู้ฟังไม่ใช่เป็นผู้กล่าวแต่เป็นผู้ที่มีหน้าที่ที่จะไตร่ตรองความจริง ไม่ใช่เชื่อแต่ว่า ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ต่างกันมาก ทุกคำเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

- (คุณสุขิน - ผู้ฟังมีหลายระดับแล้วแต่ระดับของปัญญา ระดับของอุปนิสสยโคจร อารักขโคจร อุปนิพันธโคจรนี้ก็ต่างกัน ฟังก็ไม่เหมือนกัน)

- คุณแอน - โคจรคืออารมณ์ของปัญญาแต่ต้องเป็นอารมณ์ที่เป็นธรรมไม่ใช่บัญญัติใช่ไหม)

- แน่นอนเพราะบัญญัติไม่ใช่สิ่งมีจริงที่จะรู้ได้ ไม่ใช่ปรมัตถธรรม บัญญัติมีจริงแต่ไม่ใช่ปรมัตถธรรมไม่มีลักษณะของตน ใช้คำว่าธรรมได้เพราะมีจริง คุณแอนมีจริงๆ คุณสุขินมีจริง แต่ละหนึ่งธรรมมีจริงแต่เป็นปัญญัติธรรมไม่ใช่ปรมัตถธรรม

- คุณแอนที่โน่นกี่โมงแล้ว (เกือบสี่ทุ่ม) ง่วงมั้ย ของเราสบายๆ ใกล้จะเที่ยง (ดี สนทนาดีมากสนทนาวันนี้ขอบคุณทุกคน) เห็นไหม ถ้าเรานอนเราจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ถ้าเราไม่นอนและฟังไม่ว่าขณะไหนเป็นประโยชน์กว่าการนอนและการคิดเรื่องอื่นทั้งหมด นี้เป็นอารักขโคจรถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะทำให้คิดถึงธรรมไม่ไปคิดถึงเรื่องอกุศล

- สำหรับวันนี้ก็คงจะไม่มีคำถามอื่นแล้วใช่ไหม คุณแอนได้พักผ่อนและคนอื่นจะได้รับประทานอาหาร สวัสดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ส.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ