English-Hindi-Thai 02 August 2025
English-Hindi-Thai 02 August 2025
- คุณประกาศสนใจเรื่องศีล เดี๋ยวนี้มีศีลไหม (ไม่เข้าใจว่าจะตอบอย่างไร) แสดงว่ายังไม่รู้จักศีลใช่ไหม ไม่ใช่ให้เข้าใจอย่างไร หรือเพื่อที่จะตอบอย่างไร แต่ให้เข้าใจทุกคำที่ได้ยินว่าเป็นธรรมหรือเปล่า
- จุดประสงค์คือเพื่อตอบ เพื่อคิด หรือเพื่อเข้าใจไม่ว่าคำไหนที่แสดงถึงศีล หรือเพื่อจะรู้ว่ามีกี่ข้อ (มีศีล ๕ ศีล ๘) แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เพื่อเข้าใจว่า มีความไม่รู้แค่ไหน เพราะว่าไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเลยเดี๋ยวนี้
- เพราะฉะนั้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เพื่อพยายามที่จะตอบแต่เพื่อเข้าใจความจริงของแต่ละคำที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ถูกไหม แม้แต่คำว่า ศีล
- คุณประกาศจะตอบไหมว่า ศีลคืออะไร (ไม่ทราบ) ถ้าไม่มีความเข้าใจว่า ศีลคืออะไร แล้วรู้ว่ามีศีล ๕ ศีล ๑๐ หรือศีลที่มากกว่านั้นได้อย่างไร เห็นไหม ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจความจริง ความเข้าใจธรรมจึงสำคัญ เพราะว่า มีธรรมที่เพียงเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย แต่ความจริงคือ ความจริงเดี๋ยวนี้
- จริงอย่างยิ่งที่ว่า ไม่มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เลย ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจึงทรงแสดงความจริงโดยนัยต่างๆ ไตร่ตรองพิจารณาความจริงว่า ธรรมเป็นธรรม ธรรมเป็นใครหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ เพราะว่าอะไรก็ตามที่มีจริงเป็นธรรม แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีจริง เพราะกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้
- เพราะฉะนั้นไม่รีบด่วนที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม แต่เข้าใจความจริงคือหัวใจของคำสอนถึงความจริงของแต่ละขณะซึ่งจริงอย่างยิ่ง แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาธรรมด้วยความเป็นผู้ตรงต่อความจริงว่า ความจริงขณะนี้ลึกซึ้งอย่างยิ่งจนไม่มีใครรู้ว่า ทันทีที่ธรรมเกิดขึ้นแล้วดับทันทีไม่มีเหลือเลย ศึกษาเพื่อเข้าใจธรรม ธรรมทุกอย่างที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับ ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งความจริงนี้ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความจริงนี้ได้
- ด้วยเหตุนี้เริ่มที่เข้าใจความลึกซึ้งในความหมายของคำว่า ธรรม ไม่มีใคร ไม่ใช่สิ่งใด เป็นเพียงสภาพที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปทันทีเดี๋ยวนี้ มั่นคงไหม (มั่นคง) นั่นคือ สัจจบารมี บารมีคือ ขณะที่เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาที่อบรมเพิ่มขึ้นเพื่อขัดเกลาความไม่รู้ เพื่อค่อยๆ เข้าใกล้ความจริง เพื่อประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมขณะนี้ตามเหตุตามปัจจัย ค่อยๆ เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นไหม ทุกขณะไม่ว่าขณะไหน
- เพราะฉะนั้นตอนนี้เราศึกษาเพื่อเข้าใจธรรม เพื่อเข้าใจความหมายของคำว่า ศีล ศีลเป็นธรรมไหม (เป็น) เพราะฉะนั้นศีลคืออะไร เพราะคุณตอบว่าเป็นธรรม (ศีลเป็นธรรมเพราะเป็นกุศลธรรม)
- เพราะฉะนั้นโต๊ะมีศีลไหม (ไม่) ต้นไม้มีศีลไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นศีลคืออะไร มีจริงเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นศีลมีความประพฤติเป็นไปหลายอย่าง บางขณะเป็นกุศล บางขณะเป็นอกุศลและมากกว่านั้น เพราะว่า เราเริ่มฟังคำที่แสดงถึงความจริงขณะนี้ ด้วยเหตุนี้ศึกษาด้วยความรอบคอบเพื่อเข้าใจจริงๆ ธรรมละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่จำข้อได้แล้วคิดว่า เราเข้าใจศีลแล้ว จริงไหมว่า การจำข้อจำจำนวนแต่ไม่มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้นแม้แต่ขณะนี้ก็เป็นศีล เพราะว่าศีลคือ ความประพฤติเป็นไปของสภาพที่รู้อารมณ์เท่านั้น สภาพที่มีจริงที่เป็นแข็งอ่อน ฯลฯ ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย
- เพราะฉะนั้นสภาพที่มีจริงที่เป็นรูปทั้งหมดซึ่งไม่รู้อะไรไม่มีศีลเลย เพราะไม่มีการประพฤติอะไร ไม่ใช่สภาพที่รู้อารมณ์ที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลและมากกว่านั้น เมื่อเราพูดถึงความจริงที่ไม่ใช่แค่ศีล ๕ หรือศีล ๑๐ เลย เพราะว่าเป็นความประพฤติเป็นไป ไม่ลืม เป็นความประพฤติเป็นไปของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นประพฤติไปตามการสะสม เห็นไหม
- เพราะฉะนั้นศึกษาขณะนี้ เดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจธรรม ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ทั้งหมดเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป จริงไหม (จริง) ไม่มีใคร ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะเข้าใจว่า ทั้งหมดเป็นธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ ทำไมถึงมีจริงเพราะมีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ เปลี่ยนแข็งไม่ได้แต่แข็งไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นแข็งไม่ประพฤติเป็นไปในกุศลหรืออกุศลเลย ถูกไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้เริ่มเข้าใจว่า ศีลหมายถึงอะไร เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยแล้วดับ ประพฤติเป็นไปต่างๆ ใช่ไหม
- (คุณสุขิน - ตอนที่เราสนทนากันที่อินเดียคุณประกาศจำได้ไหมว่า มีท่านหนึ่งกล่าวว่าต้นไม้ให้ร่มเงาให้อาหารกับสิ่งมีจริงชีวิต ท่านนั้นเข้าใจว่าต้นไม้ก็มีศีล คุณคิดอย่างไร)
- (คุณประกาศ - ไม่แน่ใจว่าต้นไม้มีศีลไหมเพราะต้นไม่ไม่รู้อะไร)
- (คุณสุขิน - ถูกต้อง คุณเข้าใจถูกต้องว่าศีลคือสิ่งที่เป็นสภาพรู้ มีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ใช่หมายถึงสิ่งที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นศีลคือจิตและเจตสิก)
- แต่จิตและเจตสิกทั้งหมดไม่ใช่ศีล ด้วยเหตุนี้เราศึกษาว่า เห็นไม่ได้ประพฤติอะไร เห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจกุศลศีล อกุศลศีล และอัพยากตศีลของพระอรหันต์ ด้วยเหตุนี้แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงชัดเจนอย่างยิ่ง เพื่อเข้าใจแต่ละคำว่าครอบคลุมอะไรบ้างที่เราได้อ่านได้ศึกษามาถ้าไม่ไตร่ตรองอย่างละเอียด
- ศึกษาแต่ละคำด้วยความละเอียดรอบคอบอย่างยิ่งเพื่ออะไร เพื่อละคลายความคิดว่าเป็นเรา ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เช่น ความต่างของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์และสิ่งที่มีจริงที่ไม่รู้อะไร และสภาพที่รู้อารมณ์ก็มีความหลากหลายแตกต่างกันโดยกุศลอกุศลที่ประพฤติเป็นไปต่างๆ กัน แต่สภาพที่ไม่ประพฤติเป็นไป เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้น ไม่ใช่กุศลศีลหรืออกุศลศีล และอัพพยากตศีลเป็นความประพฤติเป็นไปของพระอรหันต์เท่านั้นเพราะไม่เป็นกุศลอกุศลอีกต่อไป ไม่ว่าท่านจะกล่าวธรรม ยิ้ม หรือมีความประพฤติเป็นไปอย่างไร
- ด้วยเหตุนี้เราศึกษาทีละเล็กทีละน้อยเพื่อละคลายความติดข้องในสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เดี๋ยวนี้ธรรมไม่ปรากฏการเกิดดับแต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรดับ เพราะฉะนั้นความต่างของคำว่า ตรัสรู้ความจริงต่างกับความไม่เข้าใจเลยในสิ่งที่กำลังมีแต่ละขณะๆ ตั้งแต่เกิดจนตายแต่ละชาติ เกิดมาเพื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ๖ ทางและดับไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เพียงเกิดขึ้นกระทบตาเพื่อให้เห็นแล้วดับ ไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตา ไม่มีเห็น เห็นเกิดแล้วเดี๋ยวนี้แล้วดับไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
- ศึกษาเพื่อเข้าใจความเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นเพียงได้ยิน ฯลฯ แล้วดับ ธรรมทั้งหมดในชีวิตประจำวันคือสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นมีใครไหม มีเราไหม หรือแม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ พระคุณอันยิ่งใหญ่ของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง พระปัญญาของพระองค์เหนือกว่าใครทั้งหมดในสากลจักรวาล
- เพราะฉะนั้นศึกษาเพื่อเข้าใจไม่ใช่เพื่อจำ ไม่ไปพยายามที่จะถามถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยที่ไม่มีความเข้าใจว่า ทั้งหมดเป็นธรรม ตอนนี้มีคำถามอะไรไหม
- (คุณประกาศ - ศีลไม่ใช่ใครไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ศีลเกิดจากเหตุปัจจัย) เราศึกษาทีละคำเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจคำตอบจากคำถามของคุณ เห็นไหม ต้องเป็นความเข้าใจที่ชัดเจนในสภาพที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับเป็นสภาพที่รู้อารมณ์และประพฤติเป็นไปเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นไปในกุศลหรืออกุศล ไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้นเมื่อเรากล่าวถึงศีลเราไม่ได้กล่าวถึงสัตว์บุคคลเลย
- เพราะฉะนั้นสุนัขมีศีลไหม (ไม่มี) สุนัขไม่มีความประพฤติเป็นไปเลยหรือ สุนัขกัดกัน เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่สุนัข หรือแมว หรือคน หรือเทวดา หรือเป็นใครๆ ทั้งสิ้น ธรรมเป็นธรรม มิฉะนั้นเราศึกษาชื่อต่างๆ มากมาย กุศลจิต อกุศลจิต ฯลฯ แต่ไม่มีความเข้าใจว่าอะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ หรือว่าเป็นธรรมหรือเปล่า เห็นไหม ด้วยเหตุนี้จึงต้องปลูกฝังความจริงว่า สัจจะไม่ใช่ใครใช่ไหม ไม่ใช่สุนัข ไม่ใช่แมว เห็นเป็นเห็น ถ้าไม่มีรูปทรงสัณฐาน ใครบอกได้ สุนัขเห็น หรือแมวเห็น หรือคนเห็นเป็นไปไม่ได้ และนี้คือความหมายของคำว่า ธรรม ปรมัตถธรรม ปรมคือยิ่งใหญ่ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ธรรมทั้งหมดจึงมีลักษณะของตนๆ เปลี่ยนไม่ได้
- เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดที่มีลักษณะของตนๆ เป็นปรมัตถธรรม แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือใครก็ตามไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมได้เลย เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมลึกซึ้งขึ้นๆ ทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ ละความเป็นเราเมื่อไหร่ เมื่อขณะที่เข้าใจ ถ้าปราศจากความเข้าใจก็ไม่สามารถที่จะละได้ เพราะว่ามีความไม่รู้และความติดข้อง และความไม่รู้ก็ตรงข้ามกับความรู้หรือความเข้าใจถูก เห็นไหม
- ถ้าเราไม่พูดถึงธรรมทีละน้อยๆ ให้ลึกขึ้นๆ จะมีขณะที่เข้าใจว่า อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ได้ไหม สิ่งที่มีเป็นธรรมเห็นไหม เราเพียงศึกษาด้วยการอ่านการจำแต่ไม่มีความเข้าใจความจริงที่ละเอียดลึกซึ้งของแต่ละธรรมซึ่งต้องอาศัยแต่ละคำที่ทรงแสดงให้เข้าใจ จิตไม่ใช่เจตสิกเป็นธรรมคนละอย่างกัน เพราะฉะนั้นการศึกษษธรรมคืออะไร
- (คุณประกาศ - คือการเข้าใจความจริงแต่ละขณะ) ที่ไม่ใช่การจำคำ เช่น ศีล มีศีลเท่าไหร่ ๕ ข้อหรือ ๑๐ ข้อหรือมากกว่า เป็นต้น เห็นไหมว่าไม่มีความเข้าใจธรรม แต่เมื่อมีความเข้าใจธรรมที่มั่นคงสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ไม่ว่าจะโดยนัยของศีล หรือปฏิจสมุปบาท หรือธาตุ หรือขันธ์
- เมื่อมีความเข้าใจธรรม บุคคลนั้นก็อ่านพระไตรปิฎกได้ ทั้งหมดเป็นธรรมไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น นั่นเป็นการปฏิบัติหรือเปล่า (ไม่ใช่การปฏิบัติ) เห็นไหม เข้าใจมั่นคงและความเข้าใจถูกนั้นเองที่จะไม่นำไปในหนทางที่ผิด ปัญญาอาจหาญ ปัญญาเข้าใจความจริง ปัญญาลึกซึ้ง ไม่มีหนทางอื่นนอกจากความเข้าใจถูกทีละน้อยไปตามลำดับ ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ สามรอบ
- เดี๋ยวนี้เป็นรอบไหนในอริยสัจจ์ ๔ (ปริยัติ) ปริยัติเป็นเพียงรอบที่ ๑ ชัดเจนและคมชัดเพียงพอหรือยัง (พอ) คมและชัดเจนพอไหม (คิดว่าพอ) เดี๋ยวนี้ความเข้าใจชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจเห็นหรือยัง ต้องตรงต่อความจริง เดี๋ยวนี้ชัดเจนและเฉียบแหลมและเข้าใจแยบคายในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้หรือยัง
- (คุณสุขิน - ความเข้าใจในขั้นปริยัติมีหลายระดับไหม ท่านอาจารย์ถามว่า ความเข้าใจในขั้นปริยัติเดี๋ยวนี้มั่นคงไหม ลึกซึ้งไหม)
- (คุณประกาศ - ตรงๆ คือไม่ทราบว่ามั่นคงลึกซึ้งหรือยัง)
- ไม่ทราบว่า คุณมานิชมีคำถามอะไรหรือเปล่า
- (คุณมานิช - วันนี้ดีใจที่มีเข้าใจความหมายของศีลเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อก่อนก็เข้าใจเหมือนคนส่วนใหญ่ว่า ศีลคือเป็นข้อๆ แต่ก็อยากให้ท่านอาจารย์กล่าวเรื่องศีลให้ละเอียดเพิ่มขึ้น)
- เดี๋ยวนี้เป็นปริยัติหรือเปล่า (เป็น) ปริยัติเดี๋ยวนี้พอหรือยัง (อาจจะพอ) ปริยัติเล็กน้อยมากใช่ไหมแค่ไม่กี่คำ แค่คำว่า ศีล แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติที่อินเดียและทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษานานแสนนานมาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ถึงเวลาที่ได้ฟังและศึกษาคำจริงแต่ละคำซึ่งมีค่าอย่างยิ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องใช้เวลาที่ยาวนานมากๆ ที่จะค่อยๆ เคารพนอบน้อมในแต่ละคำเพื่อเข้าใจความจริง
- แม้แต่คำว่า ปริยัติซึ่งเล็กน้อยมากไม่เพียงพอเลยที่จะเป็นปริยัติ เพียงแค่เริ่มต้นยังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ชัดเจนพอที่จะเป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติ เมื่อไม่ถูกก็ไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจระดับที่สูงกว่านี้ได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยที่เกิดจากการฟังด้วยความรอบคอบ เคารพความจริงซึ่งละเอียดลึกซึ้งกว่าที่เราสนทนากันมาก ต้องเข้าใจแต่ละคำ ศึกษาแต่ละคำเพื่อที่จะละความไม่รู้และความติดข้องในการฝึกปฏิบัติหรือความติดข้องในการไปนั่งสมาธิ
- เพราะฉะนั้นเราเริ่มต้นใหม่ดีไหมเพื่อที่จะฟังด้วยความรอบคอบด้วยความเคารพในแต่คำที่มาจากการตรัสรู้ทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นตอนนี้ตั้งใจฟังให้ดี เคยได้ยินคำว่า กุศลธรรม อกุศธรรม อัพยากตธรรมหรือเปล่า เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนานแสนนานมาแล้วบนแผ่นดินของท่าน
- (คุณสุขิน - คุณมานิชไม่เคยได้ยิน คุณประกาศเคยได้ยินแต่จำไม่ได้ว่าคืออะไร)
- จำไม่ได้ เห็นไหม ไม่มีความเข้าใจ หากเป็นความเข้าใจก็ไม่ลืม เพราะฉะนั้นเริ่มต้นใหม่ ธรรมหลากหลายไหม (หลากหลาย) แม้ ๓ คำนี้ความหมายก็ครอบคลุมธรรมทั้งหมด ถูกไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นกรุณาอธิบาย เดี๋ยวนี้มีทั้งกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม รวมทุกอย่างทั้งหมด เพราะฉะนั้นอะไรเป็นกุศลธรรม อะไรเป็นอกุศลธรรมและอะไรเป็นอัพยากตธรรม
- (คุณประกาศ - กุศลธรรมคือ ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง อกุศลธรรมคือคนที่มีโลภะ โทสะและโมหะ) และคำสุดท้าย (ไม่ทราบ) ทั้ง ๓ คำนี้ครอบคลุมทุกอย่างแต่ถ้าเราไม่ศึกษาด้วยความรอบคอบเราก็เพียงพูดว่า กุศลธรรม อกุศลธรรมและอัพยากตธรรม
- (คุณสุขิน - คุณมานิชไม่เข้าใจว่า อัพยากตคืออะไร ขอฟังเพิ่ม) ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาด้วยความรอบคอบ ศึกษาแล้วศึกษาอีกๆ ธรรมคืออะไร อีกครั้งหนึ่งเพื่อจำได้ไม่ลืมความเข้าใจธรรมว่า สิ่งที่มีจริง ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ลืมว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีจริงเป็นธรรม ธรรมมีลักษณะของตนๆ ที่ปรากฏให้รู้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกมีสิ่งที่ปรากฏก็ไม่รู้ไม่เข้าใจเพราะไม่มีความเข้าใจธรรม
- แต่เดี๋ยวนี้มั่นคงขึ้นในความจริงว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีจริงๆ ในภาษาบาลีภาษาที่พระองค์ตรัส ใช้คำว่า ธรรม หมายถึงอะไรก็ตามที่มีจริงไม่ว่าจะใช้ภาาอังกฤษ ภาษาสเปน ภาษาอื่นๆ หรือภาษาไทย อะไรที่มีจริง ทำไมมีจริงเพราะมีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ว่ามีจริง ถ้าไม่มีลักษณะธรรมจะจริงได้อย่างไร ถูกต้องไหม สิ่งที่มีจริงมีลักษณะให้รู้ว่ามีจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้เลยเพราะว่าจริงอย่างไรก็อย่างนั้น
- เพราะฉะนั้นไม่พอเลยถ้าเพียงแค่พิจารณาแล้วพิจารณาอีกถึงตัวอย่างของธรรม พิจารณาให้ลึกขึ้นๆ เพื่อไม่ลืมความจริง เพราะว่าในแต่ละวันถ้าไม่พูดถึงธรรมก็ไม่คิดถึงธรรมเลย
- ทำไมเราพูดถึงแค่คำเดียว พูดแล้วพูดอีกๆ เพื่อให้ไม่ลืมความจริงว่า จริงๆ แล้วไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะว่าสภาพธรรมแต่ละ ๑ ที่มีลักษณะของตนๆ เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่เกิดอีกเลย ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้แต่ในทุกๆ ชาติ ธรรมที่ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในสังสารวัฏฏ์เท่านั้น
- แม้ดูเหมือนว่า ธรรมจะเป็นสิ่งที่ธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปแต่ถ้าไม่เคยคิดถึงเลยว่าเป็นธรรม แล้วจะมีความเข้าใจว่า ธรรมไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้นได้อย่างไร
- การพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้สำคัญไหม เป็นประโยชน์ไหม หรือว่าไม่มีประโยชน์เลย ปกติธรรมดาๆ แต่ความเข้าใจไม่พอที่จะเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีเป็นเพียงธรรม
- เพราะฉะนั้นมีประโยชน์ไหมที่จะพูดแล้วพูดอีกถึงเห็นเดี๋ยวนี้ คิดนึกเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ พูดแล้วพูดอีกๆ (เป็นประโยชน์) มิฉะนั้นก็ลืมแล้วก็ไม่มีความเข้าใจว่า เป็นธรรม เห็นไหม เพราะสะสมความไม่รู้และความติดข้องมามากมายมหาศาลจนปิดบังความจริง เพราะฉะนั้นเมื่อมีพูดเรื่องเห็นจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะไม่ลืมว่ามีความเข้าใจแม้เห็นเดี๋ยวนี้ว่าเข้าใจแค่ไหน
- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นเมื่อเรากล่าวว่า ความเข้าใจเห็นว่าไม่ใช่ใครไม่ใช่สิ่งใดแต่เป็นเครื่องหมายของสิ่งที่ถูกเห็น) ไม่ใช่ๆ มีเห็นแต่เห็นเห็นแล้วดับไม่เที่ยงเลย (แต่เร็วมาก ไม่สามารถที่เข้าใจความรวดเร็วของสภาพธรรมนั้นๆ) “เรา” ไม่เข้าใจ เราคือความไม่เข้าใจ
- (คุณสุขิน - เป็นคำถามเรื่องความช้าความเร็วของธรรม หรือว่าเป็นเรื่องความไม่เข้าใจเห็น แต่ท่านอาจารย์กล่าวว่า แม้เห็นเดี๋ยวนี้ดับ แต่ก็มีปัจจัยให้มีเห็นอีกในขณะอื่น ใช่ไหม เพื่อจำได้ไม่ลืม หมายถึงเป็นการอบรมสติให้เกิดขึ้นเพื่อเข้าใจในขณะนั้น จะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม ธรรมเป็นอย่างนี้)
- (คุณประกาศ - หมายความว่า เข้าใจว่ามีความไม่เข้าใจเห็น)
- (คุณสุขิน - ถูกต้องเพราะว่า เดี๋ยวนี้มีเห็นแต่ไม่มีความเข้าใจ)
- (คุณประกาศ - แล้วการปฏิบัติแบบนี้จะต้องเป็นไปอย่างนี้อีกนานแค่ไหน เราพูดประเด็นนี้ว่า เห็น มีเห็น ไม่มีความเข้าใจเห็นไปเรื่อยๆ)
- (คุณสุขิน - เพราะคุณพูดเองตอนต้นของการสนทนาวันนี้ว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้งมาก เพราะธรรมละเอียดลึกซึ้งนั่นคือคำตอบ)
- (คุณประกาศ ธรรมบางอย่างยาก ได้ยินว่าธรรมเกิดแล้วดับ แต่เห็นเข้าใจยากมาก)
- เดี๋ยวนี้เห็นกำลังมีแต่ไม่เข้าใจเห็นแม้เห็นกำลังมี เพราะฉะนั้นจะเข้าใจความจริงของอะไรได้ถ้าสิ่งนั้นไม่มีเดี๋ยวนี้ พูดถึงสิ่งอื่นๆ ในขณะที่มีเห็นทั้งวันแต่ไม่เข้าใจเห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นประโยชน์อะไรที่ไม่ลืมความจริงว่า ตามความเป็นจริงไม่มีใครทั้งสิ้น นี้คือความหมายของคำว่า ปริยัติ ไม่ใช่ว่าฟังครั้งเดียวแล้วจะพอ ไม่เคยพอเลย ยังไม่เป็นปริยัติ เพียงได้ยินแต่เข้าใจแค่ไหน มั่นคงแค่ไหนในความเป็นอนัตตา ไม่มีใคร
- ด้วยเหตุนี้แม้แต่ปริยัติก็ไม่ต่างจากขณะนี้เลย มีความเข้าใจที่ลึกขึ้นๆ เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้มีความเข้าใจในระดับปฏิปัตติตามปัจจัยคือการระลึกรู้ตรงลักษณะพร้อมความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่ยังไม่มีความเข้าใจจนกว่าสามารถจะมีที่ตั้งให้เกิดความเข้าใจจนกว่าประจักษ์แจ้งความจริง สิ่งที่มีดับแล้ว
- เพราะฉะนั้นความเข้าใจละความยึดถือในสิ่งนั้นว่า เป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาแสนโกฏกัปป์อย่างเหนียวแน่น แต่ตามความเป็นจริงยึดถือในสิ่งที่หมดแล้วดับแล้ว จริงไหม
- เพราะฉะนั้นจะศึกษาธรรมแบบไหน ศึกษาเพียงเพื่อรู้คำรู้ชื่อรู้ความหมายของคำต่างๆ แต่ไม่มีความเข้าใจความจริง ไม่มีความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเหมือนอย่างที่ได้ยินได้ฟังอย่างที่ได้ศึกษา แต่ลืมเสมอทั้งวันไม่เคยคิดถึงธรรมเลย เพราะฉะนั้นประโยชน์อะไรที่จะฟังและเข้าใจแค่คำ จริงไหม
- (คุณประกาศ - จริง และท้าทายมากเพราะได้ยินได้ฟังมาหลายครั้ง ได้ฟังมายาวนาน แต่ก็ยังมีปัญหาเดิมๆ)
- เมื่อไม่มีการระลึกรู้พร้อมความเข้าใจถูกตรงลักษณะของความจริงของสิ่งที่กำลังมี หมายความว่า ความเข้าใจในขั้นปริยัติยังไม่พอ ถูกไหม ด้วยเหตุนี้ ฟังอีก ได้ยินอีก ไตร่ตรองอีกเพื่อมั่นคงในความเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ความเข้าใจเกิดขึ้น แต่ความเข้าใจถูกแต่ละขณะๆ เป็นหนทางในอริยสัจจ์ ๔ ซึ่งจะอบรมต่อไปจนกระทั่งสามารถที่จะถึงขณะที่เข้าใจขณะนี้ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ความจริง
- เพราะฉะนั้นยังอยากที่จะมีคำเยอะๆ แต่ไม่เข้าใจธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้อีกหรือเปล่า (คุณประกาศ - อยากเข้าใจเรื่องเห็นเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเห็น) ถ้าเราพูดถึงศีลเพิ่มขึ้น ก็เพียงได้ฟังคำเพิ่มขึ้นแต่เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีศีลไหม (พูดถึงเห็นไม่ใช่ศีล) เห็นไหมมีความคิดมากมายหลังจากที่ได้ฟังเพียงคำเดียวของพระสัมมาสัพมุทะฌจ้าแต่ว่าเป็นความคิดของตัวเอง
- ทำไมไม่ฟังคำสอนเพิ่มขึ้นรอบคอบขึ้นเพราะว่า ไม่ว่าเราจะพูดเรื่องธาตุ ขันธ์ ปฏิจสมุปบาทหรืออริยสัจจ์ก็คือ เดี๋ยวนี้ที่มีความเข้าใจมั่นคงเพิ่มขึ้นในความจริงของธรรม อบรมความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากคำที่ได้ฟังเพิ่มขึ้นทีละคำ มิฉะนั้นก็เป็นเพียงคำที่จำได้ เป็นเพียงจำความหมายของคำเช่น ปัญญาคืออะไร ศรัทธาคืออะไร ฉันทะคืออะไร ฯลฯ แต่ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ขณะนี้ว่ามีอะไร และขณะไหนที่ไม่มี เห็นไหม ศึกษาเพื่อเข้าใจขณะนี้ไม่ใช่เพียงจำคำ
- อยากจะประจักษ์แจ้งความจริงและตรัสรู้ความจริงในชาตินี้ไหม ตรงอย่างยิ่งต่อความจริง เริ่มเป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริง มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ มีใครสามารถประจักษ์แจ้งความจริงโดยที่ไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้ได้ไหม เพราะฉะนั้นตรงต่อความจริง การไปสถานที่หนึ่งสถานที่ใดหรือไปสำนักปฏิบัติศูนย์วิปัสสนาด้วยความอยากที่จะไปทำอะไรเพื่อให้เข้าใจ ถูกหรือผิด แต่ตามความเป็นจริงไม่มีความเข้าใจอะไรเลยแม้แต่สิ่งที่กำลังมีขณะนั้น
- เพราะฉะนั้นการประจักษ์แจ้งหมายความว่าอะไร การตรัสรู้หมายความว่าอะไร ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้นเป็นผู้ตรง อะไรถูกอะไรผิดและนั่นคือ ความเข้าใจถูกเท่านั้นที่อาจหาญที่จะรู้ว่ามีอะไรแล้วละคลายความเห็นผิดที่ไร้ประโยชน์ และตามความเป็นจริงเป็นคำของใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงบำเพ็ญพระบารมีอันยิ่งเพื่อที่จะบอกให้คนไปนั่งสมาธิอย่างนั้นหรือ ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่ยากยิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งเพื่อให้คนไปนั่งสมาธิหรือ นั่นหรือคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
- เพราะฉะนั้นตอนนี้เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดด้วย ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์และช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นให้คำสอนของพระองค์ซึ่งละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ มีความมั่นคงเพิ่มขึ้นๆ เป็นอธิษฐานบารมี เป็นความจริงอย่างยิ่งที่ต้องอบรมเจริญความเข้าใจถูกอย่างยาวนานเพื่อสามารถประจักษ์แจ้งความจริงว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเดี๋ยวนี้
- และหนทางเดียวเป็นหนทางที่จะแสดงความเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดด้วยการศึกษาคำของพระองค์ด้วยความละเอียดรอบคอบ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า คำของพระองค์ลึกซึ้งและนานมากกว่าที่จะเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่จากการฟังแต่เป็นการประจักษ์แจ้งความจริงซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับทันที
- เพราะฉะนั้น อะไรเป็นสิ่งที่มีค่าที่ได้เกิดมาในชาตินี้ (ความเข้าใจถูกทีละน้อยๆ) มั่นคงแล้วใช่ไหมว่า ความเข้าใจถูกเป็นปัญญาบารมี ความมั่นคงเป็นอธิษฐานบารมี ด้วยขันติบารมีที่อดทนไม่ว่าจะนานแค่ไหนที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ก็ไม่สำคัญเลย เพราะว่าต้องเป็นการอบรมเจริญด้วยความรอบคอบระมัดระวัง ด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพในความจริง
- และถึงเวลาที่จะเข้าใจพระคุณของพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระคุณอันยิ่งของพระองค์ที่ทรงอบรมความเข้าใจจนประจักษ์แจ้งความจริงและทรงพระมหากรุณาเกื้อกูลผู้อื่นบนแผ่นดินของคุณนานแสนมาแล้ว แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะเข้าใจคำของพระองค์เพื่อตรงต่อความจริง เพื่อมีคำของพระองค์เป็นที่พึ่ง เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจความจริงเช่นนั้นได้โดยที่ไม่ฟังไม่พิจารณาไตร่ตรองคำของพระองค์ไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นปริยัติไหม
- (คุณประกาศ - เป็นปริยัติ ท่านอาจารย์พูดถึงคุณธรรมของพระพุทธเจ้าหลายครั้ง กรุณาอธิบายคุณธรรมของพระองค์)
- ถ้าปราศจากพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ต่อสรรพสัตว์ที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ในสมัยพุทธกาลไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกลแค่ไหน แม้พระองค์จะทรงประชวรก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์เสด็จไปเกื้อกูลบุคคลนั้น นี้คือสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานมาก ไม่มีทางที่จะมีความเข้าใจถูกได้โดยปราศจากคำของพระองค์ เห็นไหม ทรงมีพระเมตตาพระมหากรุณาแค่ไหนต่อบุคคลนั้นที่ช่วยให้บุคคลนั้นได้ฟังคำจริงแม้เพียงครั้งหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ได้เลย สำคัญมากที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ปลูกฝังความเข้าใจให้มั่นคงขึ้นๆ เพื่อสามารถที่จะละคลายความเห็นผิดและความยึดถือในสิ่งที่เดี๋ยวนี้ที่หมดไปๆ ทุกขณะ
- เพราะฉะนั้นคุณประกาศก็สามารถที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วยความเข้าใจถูกเพื่อดำรงพระธรรมคำสอนซึ่งเป็นพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอันมีค่าอย่างยิ่ง
- เพราะฉะนั้นตรงตั้งแต่เดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นๆ มั่นคงขึ้นๆ เป็นอธิษฐานบารมี บารมีทั้ง ๑๐ เป็นปัจจัยให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ทีละน้อยๆ จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณคือคนของพระองค์หรือพุทธบริษัท
- (คุณประกาศ - พูดถึงบารมี เช่นทานบารมีคือการให้อาหาร ให้ความรู้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเป็นต้น หรือว่ามีความแตกต่างจากความเข้าใจถูกอย่างไร) ถ้าไม่มีปัญญาเป็นบารมีไม่ได้ เพราะว่าบารมีคือ ความสมบูรณ์พร้อมของกุศลซึ่งสามารถดับอวิชชาและโลภะและอกุศลทั้งหมด เพราะว่าขณะที่เป็นกุศลอกุศลเกิดไม่ได้ และขณะที่เป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ต่างจากขณะที่เป็นกุศลที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย
- เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะบริจาคทานมากมายแค่ไหน ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่เป็นปัจจัยให้เข้าใจถูกได้ ด้วยเหตุนี้บารมีทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับปัญญาบารมี ไม่ว่าจะสละวัตถุสิ่งของให้ผู้อื่นมากมายเท่าไหร่ก็ไม่มีค่าเท่ากับความเข้าใจใช่ไหม การให้ที่ดีที่สุดคือ ให้ปัญญา ทานบารมีคือธรรมทาน ช่วยให้ผู้อื่นมีความความเข้าใจถูกในความจริง
- บารมีคืออะไร (บารมีคือความดีงามที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญ) เพื่ออะไร (เพื่อการตรัสรู้ เพื่อถึงการตรัสรู้) เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ความเข้าใจที่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้เป็นบารมีไหม เป็นกุศลอื่นๆ ได้ไหม ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนถ้าไม่มีความเข้าใจจะเป็นบารมีไหม และไม่ใช่เพียงแค่ความเข้าใจเท่านั้น แต่เป็นความเข้าใจถึงความไร้ประโยชน์ที่จะเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เพียงเกิดมาเพื่อเห็น เพื่อได้ยิน เพื่อได้กลิ่น เพื่อรู้อารมณ์ทั้ง ๖ ทางและดับแม้แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่ขณะที่เสียชีวิตเท่านั้นแต่หลังจากนั้นก็ไม่เหลือความทรงจำใดๆ ในอดีตเลย แต่ผ่านไปๆ ทีละขณะ มีความไม่รู้และความติดข้องสืบต่อไปๆ ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เลยถ้าปราศจากบารมี
- เพราะฉะนั้นบารมีคือความเข้าใจความจริง การเห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ ความไร้ประโยชน์ของเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจะน่าพอใจมากแค่ไหนก็ดับแล้ว หมดแล้ว ลืมแล้วทันที เพราะฉะนั้นประโยชน์อะไรที่จะติดข้องยินดีพอใจในสิ่งที่เป็นวัตถุกาม เพียงเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ๖ ทาง เล็กน้อยสั้นมากแล้วดับทันที จะตายเมื่อไหร่ก็ได้แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยหรือก่อนที่จะตายสามารถที่จะมีความเข้าใจถูกซึ่งเป็นขณะที่มีค่าอย่างยิ่งของความเข้าใจความจริง ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีเพียงสภาพที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นแล้วดับไม่หยุด ไม่มีทางที่จะตื่นขึ้น ต้องสืบต่อไปไม่หยุด
- เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงเท่านั้นที่เป็นปัญญาบารมีเป็นปัจจัยให้สละวัตถุสิ่งของ แต่การให้ที่มีค่าที่สุดคือ ธรรมทาน ให้ธรรมกับผู้อื่นเป็นของขวัญที่ดีที่สุดเหนือกว่าของขวัญใดๆ เพราะว่า เป็นการปลูกฝังความเข้าใจถูกในความจริง ไม่มีอะไรเที่ยง ทั้งหมดดับไป แม้เดี๋ยวนี้ หรือว่า ศึกษาคำ ยึดคำ แต่ไม่เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ว่า มีค่าแค่ไหนเมื่อมีความเข้าใจถูก เพราะว่าเพียง ๑ ขณะที่เข้าใจถูก คือ มรรคแรกในมรรคมีองค์ ๘ สัมมาทิฏฐิ เห็นไหม อริยสัจจะ ความจริงที่มีค่าอย่างยิ่งเป็นมรรคเป็นหนทางคือความเข้าใจถูก
- จะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้ ใครจะรู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต คือ เข้าใจความจริง ความเข้าใจปลูกฝังไว้แล้วจนกระทั่งเจริญขึ้นทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึงขณะที่ปัญญาละความไม่รู้และอกุศลต่างๆ เพราะฉะนั้น ขณะที่มีค่าอย่างยิ่งคือเดี๋ยวนี้ใช่ไหม มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติเงินทองชื่อเสียงใดๆ เพราะว่าความตายเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ก็ได้
- เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อเข้าใจความจริงของธรรมเดี๋ยวนี้และคำต่างๆ จะค่อยๆ มาทีละเล็กทีละน้อยเพื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่ยากและลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ทีละน้อยๆ มั่นคงขึ้นๆ ด้วยบารมี
- เพราะฉะนั้นตอนนี้ พิจารณา ๓ คำนี้อีกครั้ง กุสลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม และ กุศลศีล อกุศลศีลและอัพยากตศีลว่า ต่างกันไหม เห็นไหม ถ้าไม่ศึกษาด้วยความรอบคอบไม่สามารถที่จะเข้าใจชัดเจนได้ เปลี่ยนความจริงไม่ได้
- สำหรับคำว่า กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมและกุศลศีล อกุศลศีลและอัพยากตศีล ถ้าไม่เข้าใจชัดเจนก็เพียงจำคำจำชื่อ แต่ความจริงต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนถึงความต่างระหว่างกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมและกุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล เห็นไหม เป็นการเริ่มต้นที่จะพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบเดี๋ยวนี้และต่อๆ ไปเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของสภาพธรรม
- (คุณสุขิน - ก่อนอื่นระหว่างกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมและกุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีลมีความแตกต่างกันอย่างไร)
- (คุณประกาศ - มีความต่างกัน กำลังพยายามเข้าใจขณะที่เป็นกุศลศีล ขณะนี้ผมมีความประพฤติที่เหมาะสมหรือเปล่า)
- (คุณสุขิน - ขอถามเพื่อให้พิจารณาว่า กุศลศีลเป็นกุศลธรรมไหม) (เป็นแน่นอน) (คุณสุขิน - อกุศลศีลเป็นอกุศลธรรมไหม) (เป็น) (คุณสุขิน - อัพยากตศีลเป็นอัพยากตธรรมไหม) (เป็น) (คุณสุขิน - และอัพยากตธรรมเป็นอัพยากตศีลไหม) (เป็น) เชิญท่านอาจารย์
- ก่อนอื่นใดทั้งหมด ขอแค่ทีละคำจนกว่าจะชัดเจนไม่เปลี่ยน กุศลธรรมคืออะไร (คุณประกาศ - ความประพฤติที่ถูกต้อง) กุศลธรรม ต้องเข้าใจธรรมก่อน แล้วเข้าใจกุศล และ กุศลเป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นธรรมและเข้าใจว่าอะไรเป็นกุศล ก็สามารถที่จะมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าอะไรเป็นกุศลธรรม
- (คุณประกาศ - ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลงเป็นกุศลธรรม)
- เรากำลังสนทนาถึงสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมและกุศลเท่านั้น ไม่ใช่วิบาก ไม่ใช่กิริยา เพียงกุศลธรรมเท่านั้น อะไรเป็นกุศลธรรม เพราะธรรมทั้งหมดเป็นธรรมแต่ธรรมอะไรที่เป็นกุศลธรรม เฉพาะกุศลธรรมเท่านั้น
- (คุณสุขิน - ขอถามว่า เสียงเป็นธรรมไหม (เป็น) เสียงเป็นธรรมไหม (เป็น) เสียงเป็นกุศลหรืออกุศล (เสียงไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล เป็นจิตและเจตสิก) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเสียงเป็นธรรมที่เกิดกับโลภ โกรธ หลงไม่ได้ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีโลภ โกรธ หลงเกิดกับเสียง นั่นทำให้เสียงเป็นกุศลไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นเมื่อท่านอาจารย์ถามว่าอะไรเป็นกุศลธรรม ไม่พึงกล่าวว่า อะไรที่ไม่มีโลภ โกรธ หลงเกิดร่วมด้วยเป็นกุศลธรรม แต่กล่าวว่า ธรรมใดเป็นกุศลธรรม)
- (คุณสุขิน - กุศลคืออะไร มีจริงไหม (มีจริง) เพราะฉะนั้นแค่ตอบว่าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงไม่ได้หมายความว่า ธรรมนั้นที่ไม่โลภ โกรธ หลงเกิดร่วมด้วยจะเป็นกุศล เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ใช่ไหม เพราะฉะนั้นกุศลเป็นธรรมอะไร (ไม่ทราบ)
- (คุณโรเบิร์ต - กิริยาไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล) ด้วยเหตุนี้เราต้องเริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีกๆ เพื่อเข้าใจธรรม อะไรก็ตามที่มีจริงเป็นธรรมแต่มีธรรมมากมายหลายอย่าง ด้วยเหตุนี้เราศึกษาเพื่อเข้า ๑ ธรรมเพื่อที่จะเข้าใจธรรมนั้นเพิ่มอีกเล็กน้อย
- สิ่งใดก็ตามที่มีจริงเป็นธรรมแต่สภาพที่มีจริงที่ไม่สามารถรู้อารมณ์เป็นกุศลไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ด้วยเหตุนี้กุศลต้องเป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ กุศลเดี๋ยวนี้คืออะไร ด้วยเหตุนี้จึงพิจารณาธรรมอย่างละเอียดรอบคอบ มิฉะนั้นความเข้าใจความจริงก็ไม่เพิ่มขึ้น ถูกต้องไหม เพียงตามคำไปไม่ใช่ความเข้าใจ แต่เพียงคำเดียว กุศลธรรม แม้แต่รูปซึ่งเป็นสภาพที่มีจริงๆ ที่ไม่รู้อารมณืเป็นกุศไม่ได้ แต่อะไรที่เป็นกุศลซึ่งก็คือ สภาพรู้ แต่บางสภาพรู้ก็ไม่เป็นกุศลเพราะว่าแต่ละหนึ่งต่างกันตามเหตุตามปัจจัย
- เพราะฉะนั้นเราต้องการคำมากๆ แต่เข้าใจขึ้น ชัดเจนขึ้น ลึกซึ้งขึ้นในสภาพที่มีจริงเพียงหนึ่งอย่างเพื่อมีความมั่นคงว่า ไม่มีใครเลยเป็นอนัตตา ดังนั้นสิ่งที่มีจริงที่รู้อารมณ์มี ๒ อย่าง อะไรบ้าง (จิตเจตสิก) ตอบจากความจำหรือจากความเข้าใจ เห็นไหม ด้วยเหตุนี้เป็นผู้ตรง จริงใจต่อความจริงว่า เข้าใจธรรม นามธรรมและรูปธรรม และมีนามธรรมหลายประเภท มีรูปธรรมหลายประเภท ต้องพิจารณาถึงความต่างของแต่ละธรรมโดยละเอียดมิฉะนั้นไม่มีความเข้าใจอนัตตา เมื่อเมื่อไม่มีความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- ด้วยเหตุนี้จากการที่ได้ยินได้ฟังคำว่า จิตและเจตสิก มีความต่างกันอย่างไร มีจิตไหมเดี๋ยวนี้ มีขณะไหนที่ไม่มีจิต เดี๋ยวนี้จิตมีอายุเท่าไหร่ นานแสนนานมาแล้วไม่ใช่แค่เพียงชาตินี้ จิตเกิดแล้วดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดต่อไม่หยุดต่อๆ ไป เพราะฉะนั้นจิตมีอายุยาวนานมากไม่ใช่แค่ ๒๐ ปีหรือ ๕๐ ปี ใช่ไหม แต่ว่าแต่ละจิตมีอายุยาวไหม เห็นไหม
- ด้วยเหตุนี้เราจึงสนทนาแค่ ๑ ธรรมเพื่อเข้าใจในความลึกซึ้งของธรรมใดก็ตามที่เรากำลังสนทนากัน ไม่ว่าขณะไหนอายุของจิตสั้นมาก เพียงเกิดแล้วดับทันทีด้วยเหตุนี้จิต ๑ ขณะจึงมี ๓ อนุขณะย่อย ขณะที่เกิดไม่ใช่ขณะที่ดับใช่ไหมและขณะที่ไม่ใช่ขณะเกิดและไม่ใช่ขณะดับก็เป็นอีก ๑ อนุขณะ ด้วยเหตุนี้แต่ละขณะจึงมี ๓ อนุขณะย่อย เพราะว่า ขณะที่เกิดขึ้นเป็นอุปาทขณะ ขณะที่ยังไม่ไดัเป็นฐีติขณะและขณะที่ดับเป็นภังคขณะ เพียง ๓ อนุขณะสั้นมาก
- (คุณสุขิน - ความจริงของอายุโดยนัยของรูปคือ รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ดังนั้นเมื่อรูปเกิดพร้อมขณะแรกจนถึงรูปดับพร้อมจิตขณะสุดท้ายคือขณะที่เกิด ขณะที่ตั้งอยู่และขณะที่ดับนั้นต่างกัน และนี้คือ ความหมายของคำว่า แก่ มิฉะนั้นก็เป็นการคิดเรื่องราวและคิดถึงคนสัตว์สิ่งของที่แก่หรือเก่า ใช่ไหม แต่นี้คือความจริงที่เป็นอายุของรูปและอายุของจิต
- ตามปกติเราไม่กล่าวว่าจิตแก่ เพราะจิตเกิดแล้วดับทันที่เพราะฉะนั้น เข้าใจอย่างนี้ดีกว่าว่า จิตเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นในนัยนี้คำว่าแก่จึงใช้ไม่ได้เพราะดับไปไม่กลับมาอีกเลย เกิดแล้วดับทันที
- แล้วเจตสิกคืออะไร (มี ๕๒ เจตสิก) เห็นไหม สิ่งที่เรากำลังสนทนาคือหนทางที่จะละคลายความยึดถือที่ยึดจิตเจตสนิกว่าเป็นเราหรือเป็นใคร เพราะว่าตามความเป็นจริงไม่มี เพราะแค่เกิดแล้วดับ มิฉะนั้นจะต้องมีปัจจัยให้ยึดถือตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้เป็นขณะที่ต่างๆ กันที่ยังคงเป็นเราแต่ตามความเป็นจริง จะมีใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหมถ้าไม่มีสิ่งนั้นอีกต่อไป หมดแล้ว เพราะฉะนั้นยึดถือในสิ่งที่หมดไปแล้วตลอดเวลา
- เพราะฉะนั้น พระธรรมคำสอนมีค่าอย่างยิ่งที่ทำให้สามารถที่จะเข้าใจความจริงสูงสุดของคำๆ เดียว เช่น จิต และมีคำอื่นให้ศึกษาให้เข้าใจอีกมากมาย เพราะว่าจิตมีหลากหลายตามเหตุตามปัจจัยด้วยทีละเล็กทีละน้อย แต่ตอนนี้เข้าใจจิตมั่นคงขึ้น เห็นไหม ไม่ใช่แค่พูดว่า จิตกับเจตสิกเป็นธรรม นี้เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
- (คุณประกาศ - ที่กล่าวว่ามีความเข้าใจจิตเจตสิกมั่นคงขึ้น ท่านอาจารย์หมายความว่าอะไร) เพียงเกิดขึ้นแล้วดับ ๓ อนุขณะ อุปาทะคือขณะที่เกิดขึ้น ฐีติคือขณะที่ตั้งอยู่และขณะที่ดับคือ ภังคขณะ เพราะฉะนั้นเรามีคำเพิ่มขึ้น อุปาท ฐีติ ภังคะ สำหรับรูปมีอายุมากกว่าจิต ดังนั้นจึงไม่ใช้คำเดียวกัน แต่ละคำมีความหมายของตน คุณมานิชและคุณประกาศมีคำถามอะไรไหม
- (คุณสุขิน - คุณมานิชสนใจความจริงของความเข้าใจ อยากจะรู้จักว่า ความเข้าใจความจริงคืออะไร อะไรเป็นลักษณะของความเข้าใจ มีอะไรเป็นเหตุใกล้)
- เดี๋ยวนี้มีจิตใช่ไหม (มี) นี้เป็นความเข้าใจใช่ไหม ไม่มีคุณมานิชแต่มีจิตใช่ไหม (ใช่) นี้แหละความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็มีคุณมานิชแต่พอเข้าใจไม่มีคุณมานิชแต่มีกุศลจิตอกุศลจิต ค่อยๆ รู้จักจิตจนไม่มีคุณมานิช
- ขอบคุณคุณสุขินนะคะและยินดีในกุศลของทุกท่าน สวัสดีค่ะ
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลคุณสุขินและผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน
กราบอนุโมทนาคณะอาจารย์และเจ้าหน้าที่ มศพ. ทุกท่านครับ
จะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้ ใครจะรู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต คือ เข้าใจความจริง ความเข้าใจปลูกฝังไว้แล้วจนกระทั่งเจริญขึ้นทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึงขณะที่ปัญญาละความไม่รู้และอกุศลต่างๆ เพราะฉะนั้น ขณะที่มีค่าอย่างยิ่งคือเดี๋ยวนี้ใช่ไหม มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติเงินทองชื่อเสียงใดๆ เพราะว่าความตายเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ก็ได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลของผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะ บารมีทุกประการของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิด้วยครับที่แปลและถอดคำสนทนาของท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ



