Hindi-English-Thai 26 July 2025
Hindi-English-Thai 26 July 2025
- (คุณมานิช - การที่เรามาสนทนาธรรมกันเป็นธรรมชาติไหม)
- (คุณสุขิน - เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ขอท่านอาจารย์สนทนาประเด็นนี้ดีไหม)
- ตามความเป็นจริง เมื่อเราสนทนาเรื่องอะไรก็ตาม ต้องรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เมื่อกล่าวถึงธรรมชาติ สิ่งนั้นที่ว่าเป็นธรรมชาติคืออะไร สนทนาทีละคำ อะไรที่มีที่เป็นธรรมชาติ ควรไตร่ตรองที่ละคำอย่างละเอียดรอบคอบเพราะลึกซึ้งมาก ต้องใช้เวลาเหมือนที่พระสัมมาสัมพทุธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อตรัสรู้คววามจริงของธรรมชาติว่าคืออะไร
- ดูเหมือนทุกคนจะทราบว่า ธรรมชาติคืออะไร เพราะใครๆ ก็พูดถึงคำว่าธรรมชาติ แต่ความจริงอะไรเป็นธรรมชาติ
- (คุณมานิช - ไม่ทราบว่าธรรมชาติคืออะไร)
- (คุณประกาศ - ธรรมชาติคือสิ่งที่ไม่มีใครทำให้เกิด ธรรมชาติเกิดขึ้นด้วยตัวเอง เป็นหลักการที่ว่าไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครทำให้เกิด หรือทำให้ไม่เกิด)
- ด้วยเหตุนี้แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เริ่มค่อยๆ เข้าใจความลึกซึ้งของแต่ละคำทีละคำ เช่นคำว่า ธรรมชาติ ดูเหมือนทุกคนไม่สงสัยคำนี้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แม้คำว่า ธรรมชาติ
- เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรมชาติไหม (เป็นธรรมชาติ) เป็นธรรมชาติมากแม้แต่เดี๋ยวนี้เองอะไรคือความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นเป็นธรรมชาติเดี๋ยวนี้กำลังเห็นแต่ว่า เห็นคืออะไร
- (คุณมานิช - ไม่รู้จักเห็นและไม่รู้ว่าเห็นเป็นธรรมชาติไหม)
- (คุณประกาศ - ที่ตอบว่าเห็นเป็นธรรมชาติเพราะห้ามเห็นไม่ได้ มองไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์หรือแม้แต่การหยุดมองดูหน้าจอก็ไม่อยู่ในความควบคุมของใคร ดังนั้นเห็นจึงเป็นธรรมชาติเพราะควบคุมเห็นไม่ได้ จะเปลี่ยนเห็นก็ไม่ได้)
- ธรรมชาติคืออะไร ถามคุณมานิชอีกครั้งเพราะว่าต้องเข้าใจความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้เวลานานมากๆ กว่าที่จะทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่เรากำลังสนทนากันเดี๋ยวนี้
- (คุณมานิช - ตอนนี้ยังไม่ทราบคำตอบ)
- เพราะฉะนั้น คุณมานิชกล่าวคำว่าธรรมชาติหรือเปล่า
- (คุณมานิช - ประเด็นที่ถามเรื่องธรรมชาติคือ ธรรมชาติในนัยที่ว่า ไม่ว่าจะอะจะเกิดก็ต้องเกิดเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ไม่ได้เกิดตามความปรารถนาหรือตามความต้องการหรือต้องไปทำอะไรเพื่อให้เกิด)
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างที่คุณมานิชพูดแล้วเป็นธรรมชาติหรือเปล่า (เห็นด้วยว่าเป็นอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เลย อะไรเป็นธรรมชาติ
- (คุณมานิช - ได้ยินเป็นธรรมชาติ)
- ถูกต้องเพราะว่าได้ยินเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแต่อะไรเป็นความจริงของได้ยิน
- (คุณมานิช - ได้ยินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง)
- เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงก็ไม่ใช่มานิชหรือใครๆ ที่ได้ยินเลยแต่เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามปัจจัยตามธรรมชาติเพื่อได้ยินแล้วดับ เพราะฉะนั้นได้ยินไม่ใช่มานิช เห็นไม่ใช่มานิช คิดนึกไม่ใช่มานิช ถูกไหม (ถูก) แข็งเป็นมานิชไหม (ไม่) เสียงเป็นมานิชไหม (ไม่)
- เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นธรรมชาติ แล้วเสียงเป็นธรรมชาติไหม (เป็นทั้งคู่) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงมีจริงๆ นั่นคือ ความหมายของคำว่า ธรรม ไม่มีใครไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น มีเพียงปรมัตถธรรมที่เกิดแล้วดับเดี๋ยวนี้ จริงไหม เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจว่า ธรรมลึกซึ้งแค่ไหน ในแต่ละวัน ในแต่ละขณะของชีวิตประจำวันเป็นธรรมใช่ไหม
- ธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งทั้งหมดเพียงเกิดขึ้นและดับไปทันทีอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงเป็นของใครไม่ได้ ธรรมเป็นใครไปไม่ได้ เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ เป็นอนัตตาไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น
- เพราะฉะนั้นนี้คือสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงหลังจากทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่มีจริงแต่ละขณะ มีคุณสุขินไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นเป็นอะไรถ้าไม่ใช่คุณสุขิน
- (คุณสุขิน - คุณมานิชตอบว่า เพราะเสียงไม่ใช่คุณสุขิน เห็นไม่ใช่คุณสุขิน จึงสรุปว่า ไม่มีคุณสุขิน เมื่อได้ยินมีแต่เสียงที่ได้ยินไม่ใช่คุณสุขิน)
- เพราะฉะนั้นถามคุณประกาศว่า เดี๋ยวนี้มีคุณสุขินไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นเป็นอะไรที่ไม่ใช่คุณสุขิน (เป็นเพียงเสียง เป็นรูปและนามที่เกิดขึ้นที่ทำให้จำได้ว่าเป็นคุณสุขินจากที่เห็นภาพเห็นรูปร่างรูปทรง)
- แล้วคุณมานิชว่ามีคุณประกาศไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นไม่ใช่คุณประกาศ ไม่ใช่คุณสุขิน แล้วคืออะไรขณะที่กำลังเห็น ๑ ขณะ (ขณะเห็นก็เป็นเพียงเห็น) แล้วเห็นคืออะไร ไม่ใช่แค่ตอบคำแต่ตอบความจริง (เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงประเภทหนึ่ง)
- ถูกต้องเป็นสิ่งที่มีจริงประเภทหนึ่งแต่คืออะไรเป็นประเภทไหน (คุณประกาศ - เห็นเป็นสีเป็นรูปร่างรูปทรง) (คุณสุขิน - เห็น “เป็น” สี รูปร่าง รูปทรง กล่าวอย่างนั้นใช่ไหม) (ใช่)
- แสงหรือสี “เห็น” อะไรได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่แสงไม่ใช่สีใช่ไหม
- (คุณสุขิน - อาจจะเป็นเรื่องของภาษาเพราะบางครั้งได้ยินคุณประกาศกล่าวว่า เห็นเป็นสี ได้ยินเป็นเสียง จริงๆ แล้วคุณหมายความว่าอย่างไร)
- (คุณประกาศ - ตอนนี้มองจออยู่ เห็นสีของรูปคุณสุขินมีหลายๆ สี มีรูปทรงของแว่น มีรูปทรงต่างๆ มีสีต่างๆ)
- (คุณสุขิน - เพราะฉะนั้นถ้าหลับตาสีต่างๆ รูปทรงต่างๆ ก็ไม่มีใช่ไหม (ถ้าหลับตาก็ไม่มี)
- สีเห็นได้ไหม (ไม่ได้) สีมีจริงไหม (ไม่รู้คำตอบว่าสีจริงหรือไม่) ขณะนี้มีเห็น ตรงต่อความจริงและเห็นเห็นอะไร (เห็นสี เห็นรูปทรง) สีสามารถเห็นหรือได้ยินเสียงไหม (ไม่ สีเห็นอะไรไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นสีกับเห็นต่างกันอย่างไร (คุณประกาศ - สีไม่ได้ทำอะไรและเห็นเห็นสีในขณะที่สีไม่เห็นอะไร) เพราะฉะนั้นสีเดี๋ยวนี้มีจริงไหม (มีจริง) เห็นเกิดขึ้นเพื่อเห็นใช่ไหม (ใช่) คุณสั่งให้เห็นเห็นหรือเปล่า (ไม่) เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่พูดถึงเห็นที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจเห็นชัดเจน เราไม่สามารถที่จะเข้าใจขณะอื่นๆ เช่น ได้ยิน หรือคิดนึก ฯลฯ ได้เลย ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจถูกสามารถเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้มิฉะนั้นไม่ใช่ความเข้าใจ ถูกไหม
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ไม่มีความเข้าใจเห็นแม้ว่ากำลังเห็น ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของเห็นและทุกสิ่งที่มี ถูกไหม
- (คุณประกาศ - ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไรที่ว่าไม่มีความเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังมี ที่กำลังเห็นสี เห็นเป็นรูปทรง เห็นเป็นภาพ ไม่ใช่ความเข้าใจหรือ คิดว่าเป็นความเข้าใจเห็น)
- เราไม่ได้พูดถึงขณะอื่นๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราไม่พูดถึงสิ่งอื่นเลยนอกจากเห็นเท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของเห็นหรือเปล่า (ไม่ทราบ) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่างหรือเปล่า (โดยการอ่าน การฟังจากผู้อื่น) ไม่ใช่ เรากำลังพูดถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงประจักษ์แจ้งความจริงของเห็นหรือเปล่า (คิดว่าอย่างนั้น) แค่คิดว่า หรือ เป็นความจริง
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงเห็นหรือเปล่า (ไม่ทราบ) พระองค์ตรัสรู้ความจริง พระองค์ตรัสว่าอย่างไรหลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้ คำไหนที่เราควรศึกษาเพียงหนึ่งคำซึ่งคำของพระองค์ที่ทรงตรัสรู้ ศึกษาทีละคำ เพราะฉะนั้นเคยได้ยินคำไหนที่เป็นคำสอนของพระองค์
- (คุณประกาศ - ได้ยินคำว่า อนิจจา ทุกขา อนัตตา) แล้วมีความเข้าใจคำหล่านั้นไหม เข้าใจแค่ ๓ คำนั้นโดยไม่มีคำอธิบายหรือการพิจารณาไตร่ตรองใดๆ หรือเปล่า (ไม่)
- ด้วยเหตุนี้ เราจึงศึกษาความจริงต่อๆ ไป ความจริงลึกซึ้งมากจนไม่มีใครรู้ความจริงถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงเรื่องเห็นก็ไม่มีใครรู้ว่า เห็นคืออะไร ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงความจริงของทุกอย่างที่มีจริง เราก็ไม่รู้เลยว่าคืออะไรแม้เดี๋ยวนี้ ด้วยเหตุนี้จึงฟังความจริงทีละคำเพื่อรู้ว่า ความจริงนั้นละเอียดลึกซึ้งมากแค่ไหน
- เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจะพิจารณาว่า พระองค์ตรัสเรื่องเห็นว่าอย่างไร พระองค์ตรัสเรื่องเห็นหรือเปล่า (คุณประกาศ - คิดว่า พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวอะไรเรื่องเห็น) พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสถึงเห็นเลยหรือ
- (คุณประกาศ - พระองค์แสดงว่าเห็นเป็นอนิจจา)
- (คุณสุขิน - นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงสอนใช่ไหม ในพระไตรปิฎกทั้งหมดกล่าวถึงเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส คิดนึก กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันอย่างเห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงสอนเรื่องเห็น เพราะฉะนั้นคำถามตอนนี้คือพระองค์ทรงสอนเรื่องเห็น อย่างที่ท่านอาจารย์กำลังกล่าวเรื่องเห็นตอนนี้ พระองค์ทรงแสดงเรื่องเดียวกันหรือเปล่า)
- (คุณประกาศ - เริ่มสับสนแล้ว ตามที่เข้าใจคือ ไม่รู้คำตอบว่า พระองค์ทรงกล่าวเรื่องเห็นหรือไม่ แต่เข้าใจว่าพระองค์ทรงแสดงเรื่อง อนิจจา ทุกขา อนัตตา)
- ความหมายของอนิจจังคืออะไร (ไม่เที่ยง) อะไรไม่เที่ยง ไม่ใช่แค่ “ไม่เที่ยง” แต่อะไรที่ไม่เที่ยง (ทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่เที่ยง) เพราะฉะนั้นความหมายของอนิจจังคือ ไม่เที่ยง ใช่ไหม ทุกอย่างเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นความหมายของอนิจจังคืออะไร
- (คุณประกาศ - ความหมายของอนิจจังคือ อะไรก็ตามที่ไม่เที่ยงแปรเปลี่ยนไปทุกขณะแม้ตอนนี้ที่เรากำลังสนทนา)
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นอนิจจังไหม เห็นเป็นอนิจจังไหม (เห็นเป็นอนิจจังแต่ไม่รู้) เดี๋ยวนี้มีเห็นแต่ไม่มีความเข้าใจเห็นเลยถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่กล่าวเรื่องเห็น ใครจะรู้ความจริงของเห็นว่า เห็นเป็นสภาพที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งใช่ไหม ทันทีที่เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไปตามปัจจัยเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ถูกไหม
- เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงไหม (มีจริง) เห็นเกิดไหม (เกิด) เห็นดับไหม (ดับ) เพราะฉะนั้นธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยเกิดแล้วดับเป็นอนิจจังใช่ไหม แล้วสิ่งที่ถูกเห็นเกิดไหม สิ่งที่ถูกเห็นเดี๋ยวนี้คืออะไร (คืออารมณ์) มีอารมณ์มากมายแต่อารมณ์ของเห็นคืออะไร เห็นอะไร เพราะเห็นต้องมีสิ่งที่เป็นอารมณ์ของเห็นถูกต้องไหม
- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นเห็นเห็นอารมณ์ที่ถูกเห็น เข้าใจถูกไหม) ยังค่ะ เรากำลังสนทนาถึงแค่มีความเข้าใจกับไม่มีความเข้าใจ ยังไม่ใช่ความเข้าใจถูกเมื่อไม่มีความเข้าใจ
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีเห็น แล้วมีความเข้าใจเห็นหรือยังไม่มีความเข้าใจเห็น เพียงสนทนากันเพื่อที่จะเข้าใจความจริงของเห็น ตอนนี้เรากำลังศึกษาเรื่องเห็นเพราะกำลังเห็นหรือเปล่า ทำไมเราสนทนาเรื่องนี้ เพื่อเข้าใจความจริงของเห็น ก่อนสนทนาเรื่องเห็นไม่มีความเข้าใจลักษณะของเห็นเลย ใช่ไหม
- ด้วยเหตุนี้ เดี๋ยวนี้มีเห็น ควรเข้าใจสิ่งที่กำลังมีหรือเปล่า มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจได้เลยถ้าเราไม่พูดถึงความจริงที่กำลังมีแต่ละขณะตามความเป็นจริงว่า มีจริงๆ เป็นความจริง สิ่งนี้กำลังปรากฏหรือเปล่า มีสิ่งที่เป็นที่ตั้งให้เกิดความเข้าใจหรือเปล่า
- เมื่อมีการไตร่ตรองพิจารณาถึงความจริงของสิ่งที่มี ฟังแล้วฟังอีกเพื่อเข้าใจลักษณะของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มิฉะนั้นอนิจจังคืออะไร ทุกขังคืออะไร อนัตตาคืออะไร เป็นแค่คำแต่ความจริงคือ สิ่งใดก็ตามที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งนั้นต้องดับไปทันทีไม่ตั้งอยู่นานเลย อนิจจังแต่ละขณะ ถูกไหม เพราะฉะนั้น เราจะสนทนาเรื่องเห็นกันต่อไหม เพราะว่าเดี๋ยวนี้กำลังมีเห็น เพื่อค่อยๆ เข้าใจเห็นเพิ่มขึ้น
- (คุณสุขิน - เพราะฉะนั้นก่อนที่จะสนทนากันต่อไป ขอถามคุณประกาศอีกครั้งว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องเห็นหรือเปล่า) (ไม่ทราบจริงๆ)
- (คุณสุขิน - คุณมาร่วมสนทนาด้วยความสนใจ และความสนใจนั้นเพื่อเข้าใจเพิ่มขึ้นใช่ไหม เข้าใจอะไร เข้าใจเห็นใช่ไหม เห็นความสำคัญของสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นใครสอนเรื่องเห็นถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
- เพราะฉะนั้นนามคืออะไร (คือความเข้าใจ คือความจำได้ คือการนึกภาพ คือการตั้งชื่อ) แค่คำว่า นาม หมายความว่าอะไร (นามคือการรู้อารมณ์) เดี๋ยวนี้มีนามไหม (มี) มีนามอะไรเดี๋ยวนี้ (ไม่รู้จะตอบยังไงจริงๆ)
- (คุณสุขิน - คุณเพิ่งพูดว่า เดี๋ยวนี้มีนาม แสดงว่าต้องมีบางสิ่งที่คุณจำได้ว่าเป็นนาม นามอะไร นามไหน)
- (คุณประกาศ - มีความใส่ใจ มีความตั้งใจ มีการจำได้คือ มีภาพของใครบางคนตามปัจจัย)
- เป็นเรื่องยาวมาก ขอแค่เพียง ๑ ขณะเท่านั้น เพราะว่าก่อนที่จะเป็นเรื่องเป็นราวยาวๆ ต้องมีแต่ละขณะๆ เพราะฉะนั้นสามารถที่จะมีความเข้าใจความจริง มิฉะนั้นก็เป็นแค่เรื่องของนามและเรื่องราวของทุกอย่างในชีวิต แต่ความจริงเพียงแค่ ๑ ขณะในชีวิต ไม่สามารถที่จะมีความจริง ๒ ขณะพร้อมกันได้เลย ถูกต้องไหม
- เพราะฉะนั้นมีเห็น มีขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ใช่ไหม มีความเข้าใจเห็นตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงบ้างไหม (ถ้าตามที่พระองค์ทรงแสดงยังไม่มี) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอะไรเรื่องนามหรือเปล่า (ตรัส) อะไร (นามคือผู้ที่เข้าใจ) ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย
- นามคือสิ่งที่มีจริงที่รู้อารมณ์ นามเห็น นามได้ยิน นามคิด นามชอบ นามไม่ชอบ ฯลฯ ถูกไหม ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้โลกไหนๆ ก็มีไม่ได้เลย ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น เดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นรู้สิ่งที่มีที่ปรากฏทีละขณะก็จะไม่มีอะไรเลย ไม่มีโลก ไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ไม่มีท้องฟ้า ใช่ไหม
- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นก็ไม่มีโลก ไม่มีบัญญัติ ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ) ไม่ใช่ๆ เราเพียงพูดถึง ๑ ขณะซึ่งแต่ละขณะต่างกัน ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ จะสามารถเข้าใจขณะต่อไปและขณะต่อไปในอนาคตได้ไหม เพราะเหตุว่าต้องเห็นอีกในอนาคต ต้องคิดอีกในอนาคต และเดี๋ยวนี้ก็มีทั้งเห็นและคิดนึกแต่ไม่มีความเข้าใจความจริง นี้คือความหมายของคำว่า พุทธ ผู้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง ถูกไหม
- (คุณประกาศ - แต่มันเร็วมากเห็นแล้วก็คิดต่อกันทันที) คุณกำลังคิดเรื่องอื่นแต่ขณะนี้เรากำลังพูดถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อมั่นคงเพื่อเคารพนอบน้อมต่อพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงประจักษ์แจ้งความจริงของธรรม อะไรที่มีจริงเป็นธรรม เริ่มเข้าใจความจริง ตรงต่อความจริงตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่า มีเห็นแต่ไม่เคยคิดถึงเห็น ไม่เคยพิจารณาว่าเห็นเป็นอะไร ใช่ไหม
- (คุณประกาศ - ไม่เคยคิดเรื่องเห็น หมายความว่าอะไร)
- (คุณสุขิน - ก่อนฟังธรรม เคยคิดถึงเห็นไหม หรือเหมาเอาว่าเป็นเราเห็นตลอดเวลา ไม่คยพิจารณา แล้วหลังจากได้ฟังธรรม สนใจเห็นมากน้อยแค่ไหน)
- (คุณประกาศ - มีเห็นอยู่เพราะจำได้แต่เป็นความคิดเสียส่วนใหญ่) นั่นเป็นความคิดของคุณแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้ขึ้นกับว่าใครคิดถึงอะไรอย่างไร แต่เรากำลังศึกษาความจริงสูงสุดของสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏ มีความคิดต่างๆ มากมายแต่ฟังดีๆ อะไรจริงและอะไรไม่จริง เริ่มตรงต่อความจริงตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ถูกไหม เพราะว่าถ้าเห็นมีจริงเดี๋ยวนี้ก็ตรงต่อความจริง เห็นเดี๋ยวนี้มีจริงไหม (ไม่จริง) ไม่มีเห็นหรือ
- รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม รู้จักพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ไหม พระปัญญาอันยิ่งของพระองค์ เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงเข้าใจอะไร จนเรากล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่มาก เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงได้เข้าใจอะไร (คิดว่าพระองค์เข้าใจความจริง) ทั้งหมดหรือบางอย่าง (ทั้งหมด) แน่ใจหรือ (แน่ใจ)
- เพราะฉะนั้นคุณเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ว่าไม่ใช่คุณเห็นหรือเปล่า (ยังไม่เข้าใจ) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเข้าใจไหม (เข้าใจ) เพราะฉะนั้นตอนนี้ฟังคำของพระองค์เพื่อพิจารณาความจริงที่ถูกปกปิดไว้ ไม่ได้คิดถึงเลย ไม่มีความคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้เลย แต่คำของพระองค์เริ่มแสดงให้เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร เพราะว่ามีสิ่งนี้ให้ศึกษาให้รู้ให้ประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่แค่ให้คิดถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏ แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏที่สามารถรู้ได้ ถูกต้องไหม
- เพราะฉะนั้นคุณต้องการที่จะเข้าใจอะไรใน ๑ ขณะนี้เท่านั้น (อยากเข้าใจได้ยิน) เมื่อได้ยินยังไม่เกิดมีได้ยินไหม (ดับแล้ว) ไม่ใช่ เมื่อได้ยินไม่เกิดเลย มีได้ยินได้ไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นมีปัจจัยให้ได้ยินเกิดใช่ไหม (ใช่) ทำไม่ได้ยินต้องมีปัจจัยให้เกิด (เป็นหลักธรรมชาติ ถ้าไม่มีปัจจัย ได้ยินก็เกิดไม่ได้)
- มีได้ยินไหม (ไม่มี) เราพูดถึงได้ยินเท่านั้น มีได้ยินไหม (มีได้ยินเดี๋ยวนี้แล้วดับแล้วหมดแล้ว) คืออะไร ถ้าปราศจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะรู้ไหมว่าได้ยินคืออะไร
- มีได้ยินทุกคนรู้แต่คืออะไร อะไรคือสิ่งที่มีจริง อะไรคือลักษณะ อะไรคือความจริงของได้ยิน เพราะกำลังมีจริงๆ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ตามปัจจัย เพราะฉะนั้นได้ยินคืออะไร
- (คุณมานิช - ได้ยินคือสิ่งที่เข้าใจเสียง) ไม่ใช่ ได้ยินไม่สามารถเข้าใจ ได้ยินแค่ได้ยิน ถูกต้องไหม ด้วยเหตุนี้เราจึงศึกษาคำของพระองค์แต่ละคำ ความเข้าใจไม่ใช่ได้ยินไม่ใช่เห็น เพราะว่าเห็นแค่เห็น เห็นรู้แจ้งอารมณ์ไม่ว่าอะไรที่กระทบตาเป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นแค่เห็นกระทบตาเท่านั้น ไม่เข้าใจอะไรเลยเพียงเกิดขึ้นเพื่อเห็น เพื่อได้ยิน ด้วยเหตุนี้จึงมีสภาพธรรมมากมายแต่ละขณะในชีวิตแต่ละชีวิตแต่ละขณะแตกต่างกัน จริงไหม
- เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างว่า “ธรรม” เพียง ๑ คำ เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นความจริง เพราะฉะนั้น อะไรที่มีจริง เป็นธรรม
- เพราะฉะนั้นเสียงเป็นธรรมไหม (เป็น) ได้ยินเป็นธรรมไหม (เป็น) เหมือนกันหรือต่างกัน (เป็นธรรมเหมือนกัน) ได้ยินได้ยินเสียงเพราะฉะนั้นเสียงกับได้ยินเป็นสิ่งที่มีจริงที่เหมือนกันหรือต่างกัน (ต่างกัน) ถูกต้อง
- เพราะฉะนั้นเสียงเป็นเสียง เสียงรู้อะไรไหม (ไม่) นั่นคือ ความหมายของ “รูปธรรม” เพราะว่าสิ่งมีที่มีจริงทุกอย่างที่มีจริงๆ ทุกประเภทเป็นธรรมแต่ต่างกันหลากหลาย ด้วยเหตุนี้แต่ละขณะเป็นธรรมที่เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์เป็นอนิจจัง
- เพราะฉะนั้นตอนนี้มีความสงสัยในคำว่า ธรรม หรือเปล่า ต้องชัดเจนตั้งแต่ต้น มั่นคงในความจริงของสิ่งที่มีจริง ยังสงสัยอะไรเกี่ยวกับธรรมไหมเพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง ธรรมมีลักษณะของตนๆ เช่น เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน เข้าใจเป็นเข้าใจ ไม่เหมือนกันแต่ละหนึ่งต่างกันตามปัจจัย
- เพราะฉะนั้น เราค่อยๆ ศึกษาสิ่งที่มีในชีวิตทีละเล็กทีละน้อยไม่ว่าชาติไหนก็มีจริงเป็นความจริง มีปัจจัยให้เกิดเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แต่ไม่ว่าอะไรที่เกิดต้องดับเป็นอนิจจังไม่เที่ยง จริงไหม ศึกษาเพื่มเข้าใจความจริงที่มีในชีวิตลึกซึ้งขึ้นว่า ไม่มีเราที่เห็น ไม่มีเราที่ได้ยิน ขณะที่เห็นเกิดขึ้นเป้นไปตามเหตุปัจจัยแล้วดับไป ไม่เป็นของใครและเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเห็น
- มีอะไรอีกที่เป็นธรรมในชีวิตประจำวันทุกวันทั้งปีทั้งชาติ อะไรเป็นธรรมและอะไรที่ไม่ใช่ธรรม มีอะไรที่มีจริงแต่ไม่ใช่ธรรมไหม เพื่อมั่นคง
- (คุณประกาศ - ได้ยินเกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งดังนั้นจึงได้ยิน เสียงได้ยินไม่ได้ เสียงไม่รู้อารมณ์ และได้ยินเกิดเพราะปัจจัย ได้ยินรู้เสียง เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องไหม) ใช่ แต่เราไม่ได้พูดไปไกลมากขนาดนั้น แต่ว่าเราพูดถึงสิ่งที่มีจริง ๑ อย่างเพื่อมีความมั่นคงเพิ่มขึ้นๆ ในความจริงเพื่อเข้าใจว่า ไม่ยั่งยืน เกิดมีเดี๋ยวนี้โดยปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยเห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นโดยปัจจัยและทันทีที่เกิดแล้วก็ดับ เกิดขึ้นเพียงแค่เห็นเท่านั้น ไม่ได้ตั้งอยู่ยืนยาวที่จะทำหน้าที่อย่างอื่นเลยนอกจากเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ๑ ขณะและทันทีที่ดับไปก็ไม่กลับมาเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่แค่วันนี้หรือชาตินี้แต่ไม่กลับมาอีกเลยเป็นอนิจจัง
- เพราะฉะนั้นเราจึงศึกษาทีละคำเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่มีที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เห็นไม่เที่ยง ดูเหมือนว่ามีเห็นทั้งวันแต่ความจริงเกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งแล้วดับ ขณะต่อไปเห็นอีกแต่ไม่ใช่เห็นเดิมตามปัจจัย ไม่มีอะไรเป็นอันเดิมได้เลยเพียงเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
- เพราะฉะนั้นตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีปัจจัยได้ไหมแต่ละขณะที่เกิดและนี้คือความหมายของสังขารธรรม ทั้งหมดขึ้นกับเหตุปัจจัยให้อะไรเกิดขึ้นปรากฏแล้วดับ เพราะฉะนั้นสามารถที่จะมีการฟังมากขึ้น มั่นคงขึ้นในความเข้าใจธรรมว่าไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น มีลักษณะให้รู้ได้ไม่ปะปนกันกับลักษณะของสภาพธรรมอื่นๆ
- เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นที่ไม่ใช่แค่วันนี้หรือเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ถูกเห็นในชาตินี้และทุกชาติ เห็นอะไร เดี๋ยวนี้กำลังเห็น (เห็นเห็นอารมณ์)
- (คุณสุขิน - เสียงเป็นอารมณ์ของได้ยิน อะไรเป็นอารมณ์ของเห็น)
- (คุณประกาศ - รูปทรงสัณฐาน สีสัน แสงสว่าง)
- (คุณสุขิน - ที่พูดมาจริงไหม จริงแค่เดี๋ยวนี้หรือว่าจริงทุกครั้งที่เห็นเกิดไม่ว่าชาติไหนๆ ไม่ว่าอดีตชาติหรือในอนาคต พระพุทธองค์เห็น คุณประกาศเห็น ปลาเห็น เห็นต่างกันไหม)
- (คุณประกาศ - ต้องเหมือนกัน)
- เพราะฉะนั้นเห็นเป็นสิ่งที่มีจริงไหม (จริง) เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรม เห็นรู้อะไรไหม (เห็นรู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น) เพราะฉะนั้นธรรมคืออะไร
- (คุณมานิช - เห็นเป็นธรรมที่รู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เห็นเป็นนามธรรม สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม)
- เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรนอกธรรมไม่ว่าจะโลกไหนทุกโลก จริงไหม (จริง) มั่นคงว่าไม่มีใคร ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจากธรรมที่แตกต่างหลากหลาย เพราะฉะนั้นเริ่มจำแนกว่ามีธรรมเป็นประเภทใหญ่ ๒ อย่าง สิ่งที่มีจริงเกิดเพราะเหตุปัจจัยเพื่อรู้อารมณ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เป็นนามธรรม สิ่งนี้เมื่อเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ไม่ทำอย่างอื่นเลย ไม่ว่าชาติไหนโลกไหน
- (คุณประกาศ - จะให้คำจำกัดความของนามธรรมว่าอย่างไร) หมายความว่าอะไร (นามคือผู้ที่รู้) ไม่มีใครๆ นามคือสภาพที่มีจริงๆ ไม่มีใคร สิ่งที่มีจริงเป็นใครไม่ได้ มีจริงๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อรู้ เช่น เห็น ได้ยิน คิดนึก ชอบ ไม่ชอบ ฯลฯ สภาพที่รู้อารมณ์มีจริงๆ เป็นธรรม แต่ธรรมประเภทไหน ชนิดไหนที่เกิดขึ้นรู้ ต้องมีลักษณะต่างๆ กันตามปัจจัย มีกิจหน้าที่ต่างกันตามลักษณะของธรรม ด้วยเหตุนี้จะเป็นนามประเภทหนึ่งไม่ใช่มีนามเดียว มีหลายนาม
- เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันว่า เป็นนามที่รู้แต่ละขณะๆ ไม่ว่านอนหลับ เดิน ทำกับข้าว ทั้งหมดเป็นธรรมแต่สิ่งที่รู้อารมณ์เป็นนามธรรม
- เดี๋ยวนี้มีเสียงไหม (ดับไปแล้ว ตอนที่พูดไม่มีเสียง) ขอโทษนะคะ พิจารณาด้วยตนเอง มีเสียงไหมเดี๋ยวนี้ (มี) เพราะฉะนั้นเสียงมีจริงแต่เมื่อไม่มีได้ยินจะสามารถมีเสียงได้ไหม เพราะฉะนั้นเสียงเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ เสียงไม่ใช่สภาพรู้ แต่มีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งที่เราใช้คำว่า ได้ยินและได้ยินได้ยินเสียง หมายความว่า ได้ยินรู้เพียงเสียงเท่านั้นขณะที่เสียงปรากฏ เมื่อไม่ได้ยินเสียงปรากฏได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเสียงไม่รู้อะไรแต่ได้ยินได้ยินเสียง และคำว่าได้ยินหมายความว่าสามารถรู้ลักษณะของเสียง ในภาษาบาลีใช้คำว่า รู้อารมณ์และเสียงเป็นอารมณ์ของได้ยินเพราะได้ยินอะไร ได้ยินเสียงเท่านั้น
- เพราะฉะนั้นเมื่อใดที่มีสภาพที่มีจริงเกิดขึ้นรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกสภาพรู้รู้เพราะว่าสภาพรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น และนี้คือการศึกษาธรรม เห็นไหม ไม่ใช่ขณะอื่นแต่คือเดี๋ยวนี้ ทั้งหมดเป็นธรรมที่ไม่มีใครรู้จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมทุกอย่าง
- เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัจจัยให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยเพราะว่า ขณะที่เห็นก็เป็นเราเห็นแต่ความจริงไม่มีเรา มีเพียงสภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยเกิดขึ้นเห็น เริ่มเข้าใจธรรมลึกขึ้นๆ เพิ่มความมั่นคงในคำว่า ธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีการศึกษาธรรมเพิ่มขึ้นๆ ไม่ใช่แค่คำแต่เป็นการชี้ให้เห็นความจริงของสิ่งที่มีจริงเพิ่มขึ้นๆ ตาอยู่ตรงนี้ไม่ไกลเลย หูอยู่ตรงนี้
- เพราะฉะนั้นเห็นอยู่ตรงนี้ ได้ยินอยู่ตรงนี้ ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทั้งหมดอยู่ที่กายนี้เท่านั้น ที่มาของโลก นามอยู่ไหน เห็นอยู่ที่ตา ทั้งหมดเป็นธรรม มั่นคงในความเป็นธรรมเพื่อที่จะความเคารพในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่ตามคำไปโดยที่ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ละขณะ ไร้ประโยชน์ที่จะเพียงฟังคำแต่ไม่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่พระองค์ตรัสว่า เป็นธรรม
- เราไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลๆ เลย แต่ขณะใดที่ได้ฟังความจริง พิจารณาไตร่ตรองเพื่อเข้าใจเพื่อที่จะมีความมั่นคงเป็นสัจจบารมี ตรงต่อความจริงของสิ่งที่มี เดี๋ยวนี้เห็นเกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งเพื่อเกิดขึ้นเห็น แค่เห็นแล้วดับเพราะมีปัจจัยให้เกิดขึ้นเห็น เห็นเท่านั้นไม่ทำอย่างอื่นเลยแล้วดับไปแต่ละขณะ
- เพราะฉะนั้นมีความมั่นคงในความหมายของคำว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใคร สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเพื่อได้ยิน หรือเพื่อเห็น หรือเพื่อคิด หรือเพื่อชอบ สั้นมาก ๑ ขณะ ทันทีที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นดี๋ยวนี้ดับไปแล้ว ใครรู้ เป็นอนิจจัง
- เพราะฉะนั้นอนิจจังไม่ใช่แค่คำที่เอาไว้จำแต่เดี๋ยวนี้เห็นเป็นอนิจจังเพราะไม่เที่ยง ดับไปแล้วทันที จริงไหม นั่นเป็นคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้หรือเปล่า หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ พระองค์ตรัสถึงความจริงแต่ละขณะว่าอย่างไร นั่นคือพระปัญญาอันยิ่งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความเข้าใจความจริงเท่านั้น เมื่อไม่มีความเข้าใจความจริงก็ไม่มีความเข้าใจในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ตรัสว่าอะไร พระองค์ตรัสรู้อะไร การอบรมความเข้าใจแต่ละขณะนานแสนนานมาแล้ว หลายแสนโกฏกัปป์ก่อนการตรัสรู้
- เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษากี่คำ แต่เราพูดกี่คำเพื่อที่จะให้เข้าใจพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่เหนือกว่าใครทั้งหมดในสากลจักรวาลไม่ใช่แค่โลกนี้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้พระองค์ทรงแสดงความจริงของทุกอย่างที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แต่ไม่รู้เลย
- สิ่งที่เห็นต้องมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นใครจะรู้ว่ายังมีสิ่งที่มีจริงอีกอย่างหนึ่งที่ปรุงแต่งเห็นให้เกิดขึ้นพร้อมกัน ๑ ขณะ เริ่มศึกษาธรรมความจริงสูงสุดที่เกิดขึ้น ๑ ขณะแล้วดับ ความจริงคือความจริงไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความจริงได้นั่นคือ อริยสัจจธรรม ธรรมและความจริงของธรรมเป็นสัจจะ ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ และ อริยะ คือขณะที่ตรัสรู้ความจริง การฟังความจริงทีละคำทีละขณะต่อๆ ไปไม่หยุดเพื่อที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้และความติดข้องในสิ่งที่มี ถ้าปราศจากความเข้าใจในคำจริงของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ แม้แต่ความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ว่าเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงเลย เกิดขึ้นดับไปอย่างรวดเร็ว จริงไหม
- และเมื่อมีความเข้าใจ ก็เป็นสิ่งที่มีจริงอีกประเภทหนึ่งที่ต่างจากความไม่รู้ ความไม่รู้ไม่สามารถเข้าใจความจริงอะไรเลย แต่ความเข้าใจถูกต่างหากที่เข้าใจเพราะฉะนั้นความเข้าใจเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยด้วย ถ้าไม่มีการไตร่ตรองพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบจะเข้าใจความจริงได้ไหม เริ่มที่จะเข้าใจพระคุณธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ใช่การเคารพพระองค์ด้วยการไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นี้คือความต่างของการตรงต่อความจริง สัจจบารมี
- ความไม่รู้มีจริงไหม (มีจริง) เพราะฉะนั้นเป็นธรรมใช่ไหมเพราะมีจริงๆ เพราะฉะนั้นเป็นธรรมประเภทไหน ความไม่รู้เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม (นามธรรม) ไม่สงสัยแล้วตอนนี้ ค่อยๆ อบรมความเข้าใจในสิ่งที่มีทีละขณะ เห็นไหมจากที่ไม่มีความเข้าใจความจริงอะไรเลย ก็เริ่มที่จะเข้าถึงคำที่ส่องให้เห็นถึงความจริงที่ใกล้มากเดี๋ยวนี้แล้วก็ดับ
- ถ้าไม่มีการใส่ใจในความจริงจะมีความเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่มีคำที่แสดงถึงความจริงให้ได้ฟัง ได้พิจารณา ได้ไตร่ตรอง จะเข้าใจความจริงได้อย่างไร แต่ละขณะแต่ละธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย โดยเหตุใกล้ โดยเหตุไกลในแสนโกฏกัปป์มาแล้วที่เป็นปัจจัยให้มีขณะนี้ แต่ละขณะไม่เที่ยง ดับแล้วไม่กับมาอีกเลยแต่เป็นปัจจัยให้มีขณะต่อไปต่อๆ ไปที่เป็นความต่างจากความไม่รู้ที่ไม่เข้าใจอะไรเลยไปสู่เดี๋ยวนี้ที่มีความเข้าใจ
- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความจริงว่า ความไม่รู้มีจริง ความเข้าใจถูกมีจริง และเห็นมีจริง และได้ยินมีจริง และความรู้สึกมีจริง และความจำมีจริง ทั้งหมดเป็นธรรมมีลักษณะเฉพาะของตนๆ มีกิจหน้าที่ของตน ไม่ใช่ใคร นี้คือหนทางที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นทีละน้อย และสามารถที่จะค่อยๆ แยกแยะความจริงจนประจักษ์แจ้งความจริง แต่ละคำนั้นจริงอย่างยิ่ง
- ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เพราะว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว แล้วจะเป็นอัตตาไปได้อย่างไร แต่เราอยู่ในโลกของอัตตามานานเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่ชาตินี้แต่หลายแสนโกฏกัปป์มาแล้ว เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ได้ยินเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงสิ่งที่เกิดเพราะเพราะเหตุปัจจัยไม่ใช่เพราะใครแม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ เห็นไหม ขณะที่เรากำลังสนทนามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเต็มไปหมดตามปัจจัย จริงไหม
- (คุณประกาศ - จริง) และนั่นเป็นสัจจบารมี ตรงต่อความจริงแต่ละคำของความจริง ไม่สงสัยในความเป็นธรรม ไม่สงสัยนามธรรม ไม่สงสัยรูปธรรม และศึกษาเพิ่มเติมเพราะว่านามธรรมมีหลากหลายมาก ไม่ใช่แค่มี ๒-๓ นามและรูปธรรมก็มีหลากหลายไม่ใช่มีแค่ ๒-๓ รูป จริงไหม นี้เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ใครจะสอนแบบนี้ได้ไหม ไม่มีทาง
- เพราะฉะนั้นเข้าใจพระคุณอันยิ่งของพระองค์ ใครจะมีความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงได้ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย เพื่อที่จะละความความไม่รู้และความติดข้องเพื่อประจักษ์ความจริงของธรรมขณะที่สภาพธรรมกำลังเกิดดับ โดยมีความมั่นคงในความจริงเพิ่มขึ้นๆ ฟังแล้วฟังอีกเพิ่มขึ้นมากขึ้นเพื่อเข้าใจลึกขึ้นในเห็นโดยนัยของขันธ์ โดยนัยของอายตนะ โดยนัยของปฏิจสมุปบาท เพราะว่าเห็นมีอยู่ในชีวิตประจำวัน
- มิฉะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่เราเห็น หรือใครเห็น หรือสุนัขเห็น แมวเห็นแต่เห็นเป็นเห็น ธรรมเปลี่ยนไม่ได้และนั่นคือ สัจจบารมี สามารถที่จะรู้ความเป็นจริงได้ไหมแต่จะรู้ได้อย่างไร
- (คุณประกาศ - โดยธรรม โดยการเปลี่ยนแปลง)
- (คุณสุขิน - ไม่มีหนทางอื่นนอกจากการเข้าใจธรรมที่มีเดี๋ยวนี้)
- ธรรมลึกซึ้งมากไหม (มาก) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ สามรอบเพื่อเข้าใจ เพื่อประจักษ์แจ้งความจริง คุณเคยได้ยินเรื่อง อริยสัจจ์ ๔ สามรอบไหม
- (คุณประกาศ - อริยสัจจ์คือ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นความเข้าใจระดับไหน (ปริยัติ) รอบที่ ๑ ใช่ไหม แต่ยังไม่สมบูรณ์เพราะว่าความเข้าใจเล็กน้อยมาก
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เข้าใจและไม่รู้ มีมากกว่านั้นในชีวิตประจำวัน และถ้าไม่มีความเข้าใจที่มากกว่านี้ อะไรจะเป็นปัจจัยให้ประจักษ์แจ้งความจริง ถ้าไม่ฟังไม่พิจารณาไตร่ตรองให้มั่นคงขึ้นๆ ก็ไม่สามารถที่จะมีปัจจัยให้ไม่ลืมความจริงที่มีเดี๋ยวนี้ว่า เกิดขึ้นแล้วดับไป ถูกไหม
- เพราะฉะนั้นเราจะศึกษาสิ่งที่มีจริงอื่นๆ ด้วยทีละเล็กทีละน้อย จิต เจตสิก รูป ต่างกันไม่มีทางเหมือนกัน จิตจะเป็นเจตสิกไม่ได้และเจตสิกจะเป็นจิตไม่ได้ และมีเจตสิกหลายประเภทแต่จิตมี ๑ เท่านั้น หนึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามีหนึ่งเดี๋ยวนี้เท่านั้นแต่หมายถึงมี ๑ ลักษณะที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เพราะว่าขณะที่รู้แจ้งอารมณ์ยังมีสภาพที่รู้สึกในอารมณ์นั้น เป็นความรู้สึกเฉยๆ หรือความรู้สึกเป็นสุขเมื่ออารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ที่ดีที่น่าพอใจ
- เพราะฉะนั้นแม้ความรู้สึกจะเกิดพร้อมกันแต่เป็นอีกสภาพธรรมหนึ่งที่ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น จิตไม่รู้สึก จิตไม่ชอบ จิตเกิดขึ้นเพียงรู้แจ้งอารมณ์ ด้วยเหตุนี้จึงศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อรู้ว่าธรรมทั้งหมดไม่ใช่ใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงเกิดขึ้นตามปัจจัยแล้วดับไปอย่างรวดเร็วเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทีละน้อยๆ ตอนนี้เริ่มเข้าใจทีละน้อยว่า ชีวิตไม่เที่ยง แต่ละขณะไม่เที่ยง ดังนั้นจึงเป็นใครหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ เพราะว่า สิ่งที่มีเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เริ่มที่จะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อมั่นคงในความจริงของชีวิตเพิ่มขึ้น
- เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ทรงแสดงจะเป็นปัจจัยให้เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ตื่นนอน เห็น ชอบ ดูโทรทัศน์ ไปช้อปปิ้ง ฯลฯ ว่าอะไรที่มีในชีวิตประจำวันเป็นเพียงธรรมที่แตกต่างกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราศึกษาธรรมโดยศึกษาทีละหนึ่งแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
- เพราะฉะนั้นตอนนี้เราศึกษาเรื่องนามและรูป และมีนามหลายอย่างแต่นามหนึ่งคือ จิต และนามที่เหลือเป็นเจตสิก ทั้งหมดเป็นธรรมแต่แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภทๆ หนึ่งไม่สามารถรู้อารมณ์ได้เป็นรูปธรรม และเดี๋ยวนี้เราเริ่มที่จะมีความเข้าใจนามธรรมเพิ่มมากขึ้นว่า มีนามธรรมประเภทหนึ่งที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เพชรเทียม เพชรแท้ สภาพที่รู้แจ้งอารมณ์สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้จำความต่างว่าอันที่จริงไม่ใช่อันที่ปลอม เห็นไหม ถ้าไม่มีจิตที่รู้แจ้งไม่มีใครสามารถที่จะบอกความต่างได้เลย แต่ต้องมีสิ่งที่มีจริงที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นและสิ่งที่มีจริงที่เกิดพร้อมกันเป็นปัจจัยให้จิตรู้อารมณ์เดียวกัน ฯลฯ ค่อยๆ ศึกษาทีละเล็กทีละน้อย
- เพราะฉะนั้นตอนนี้ทั้งหมดเป็นธรรมแต่มีธรรม ๒ อย่าง นามธรรมและรูปธรรม และเราจะเริ่มศึกษานามธรรมและรูปธรรมเพิ่มอีกเล็กน้อย เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมไหม ได้ยินเป็นธรรมไหม ความจำเป็นธรรมไหม ความรู้สึกเป็นธรรมไหม ทีละเล็กทีละน้อยไม่สงสัยอะไรที่มีจริงเป็นธรรมและต้องมีนามธรรมหรือรูปธรรม
- รูปธรรมรู้อะไรได้ไหม (ไม่ได้) นามธรรมไม่รู้อะไรได้ไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นมั่นคง นามธรรมรู้อารมณ์โดยลักษณะและโดยกิจหน้าที่ เพราะฉะนั้นเริ่มที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ไม่ใช่ใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น แต่ละหนึ่งมีจริงและไม่มีปัจจัยปรุงแต่งแต่เรายังไม่กล่าวถึงธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งเพราะไม่มีเดี๋ยวนี้
- ด้วยเหตุนี้ศึกษาทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใจชีวิตแต่ละขณะว่า เป็นธรรม เมื่อเห็นใครทำอะไรผิดไม่ใช่คนนั้นแต่เป็นธรรม ใช่ไหม ความติดข้อง ความโกรธที่มีกำลังมากจะเป็นปัจจัยให้พูดหรือกระทำเช่นนั้น ไม่ใช่คนไม่ใช่ใคร ทั้งหมดเป็นธรรม ศึกษาเพิ่อเข้าใจเพิ่มขึ้นมากขึ้นจนกว่าธรรมปรากฏตามความเป็นจริง เป็นอริยสัจจ์ ๔ รอบที่สอง และอบรมต่อไปจนถึงรอบที่สาม เป็นปัญญาที่สูงเพิ่มขึ้นจากการฟังที่เป็นรอบแรกไปสู่รอบที่สองจนถึงรอบที่สาม
- เพราะฉะนั้นเคารพใครสูงสูด (พระพุทธเจ้า) เพราะอะไร เห็นไหม เพราะว่าพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงแสดงความจริงจากการที่ได้ทรงตรัสรู้แต่ละคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในชึวิตที่ไม่เคยรู้มาก่อนใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏก่อนที่จะได้ฟังเป็นคนเป็นใครเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งวัน แต่ความจริงทั้งหมดเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นมีความมั่นคงในความเข้าใจถูกเห็นถูกในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเกื้อกูลความจริงให้กับผู้อื่น
- เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราได้ฟังคำของพระองค์จากพระธรรมที่ทรงแสดงนานมาแล้วโดยผู้ที่ได้ศึกษาอย่างรอบคอบด้วยความเคารพสูงสุด ไม่เปลี่ยนแต่ละคำที่ทรงแสดง ไม่ลงมือทำหรือไปตามที่ต่างๆ โดยที่ไม่มีความเข้าใจอะไรเดี๋ยวนี้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเช่นนั้นจะฉลาดที่จะเข้าใจสิ่งที่มีได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า ต้องมีการอบรมอริยสัจจะไปตามลำดับขั้นจากขั้นการฟังปริยัติไปสู่ขั้นปฏิปัตติและขั้นปฏิเวธตามลำดับ
- ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นปริยัติจะมีขั้นปฏิปัตติได้อย่างไร เพราะฉะนั้นปฏิปัตติไม่ใช่การไปนั่งสมาธิที่สำนักปฏิบัติแต่คือเดี๋ยวนี้ และปฏิปัตติคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นเราไปนั่งสมาธิแต่ไม่มีเรา แล้วอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ เห็นไหม เราศึกษาความจริงเพิ่มขึ้น ศึกษาเจตสิกอื่นๆ เพราะว่าไม่ได้มีเจตสิกแค่ ๑ หรือ ๒ เจตสิก เช่น ความรู้สึกหรือความจำ แต่มีเจตสิกเท่าไหร่ มี ๕๒ เจตสิก เพราะฉะนั้นเราศึกษาว่า ปฏิปัตติคืออะไร
- (คุณสุขิน - ถามคุณประกาศว่า หลังจากที่ได้ยินเรื่องอริยสัจจ์ ๔ สามรอบ คุณคิดว่าจะมีการปฏิปัตติโดยไม่มีปริยัติได้ไหม และ ต้องมีปริยัติแค่ไหน)
- (คุณประกาศ - ไม่ทราบจริงๆ ว่าต้องเรียนปริยัติมากแค่ไหนถึงจะไปสู่ขั้นปฏิปัตติได้)
- เพราะฉะนั้นศึกษาทีละ ๑ ธรรม เพื่อเข้าใจมั่นคงทีละธรรม ยกตัวอย่างเช่น ต้องมีจิตที่เป็นสภาพที่มีจริงที่รู้อารมณ์ แม้แต่ขณะที่เกิดก็มีจิตมิฉะนั้นก็ไม่มีชีวิต ต้นไม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิด ไม่มีสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้เลย เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีจริงมีจริงๆ เป็นธรรม
- ความไม่รู้เป็นสภาพที่มีจริงๆ ที่ไม่เข้าใจความความจริงอะไรเลย มีเห็นแต่ไม่เข้าใจเห็นเพราะฉะนั้นจึงมีความคิดว่าเป็นเราเห็นและยึดติดกับความเห็นนั้นตลอดเวลาแม้ไม่ต้องกล่าวออกมาว่า ”เราเห็น“ ก็เป็นเราที่เห็นแต่ขณะที่เห็นไม่มีใครเพราะฉะนั้นก็เป็นเราที่เห็น เช่นนี้ถูกหรือผิด (ผิด) เดี๋ยวนี้มีประกาศเห็นไหม (ไม่) แต่เมื่อไม่รู้จักเห็น ไม่ประจักษ์แจ้งเห็น เห็นก็ต้องเป็นเราเพราะว่าเห็นไม่ได้เกิดแล้วดับตามความเป็นจริงจนค่อยๆ คลายความยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะน้้นในบรรดาธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่งแล้วดับทั้งหมด ความเข้าใจถูกมีค่าที่สุด
- เพราะฉะนั้นตอนนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจความจริงจากการฟังว่า เห็นไม่เที่ยง เห็นเป็นใครไม่ได้เพราะมีปัจจัยให้เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ เพราะฉะนั้นไม่มีเรา ไม่มีแมว ไม่มีสุนัขเลย เห็นเพียงเกิดขึ้นเห็น และจุดประสงค์ของสิ่งที่คุณเรียกกว่าการนั่งสมาธิสำนักปฏิบัติคืออะไร เพื่ออะไร ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยตั้งแต่ต้น แล้วจะมีรอบที่สามของอริยสัจจะได้อย่างไร
- เพราะฉะนั้นตรงจริงใจต่อความจริง สิ่งที่ถูกต้องถูกและปัญญาเท่านั้นที่มั่นคงต่อความจริง เป็นผู้ตรง
- (คุณสุขิน - หลังจากที่ได้ฟังธรรม คุณประกาศเริ่มเข้าใจว่า เห็นไม่ใช่คุณประกาศใช่ไหม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา ความรู้สึกไม่ใช่เรา โกรธไม่ใช่เรา ความติดข้องไม่ใช่เรา คิดนึกไม่ใช่เรา ความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา ปฏิปัตติไม่ใช่เรา ปฏิปัตติเป็นความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้นไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นเมื่อมีความคิดที่ว่า จะไปนั่งสมาธิที่คิดว่าเป็นการปฏิปัตติ ความคิดเช่นนั้นถูกหรือผิด)
- เป็นผู้ตรง เพราะฉะนั้นสัจจบารมีสำคัญมาก ต้องตรงต่อความจริง อริยสัจจะระดับไหนที่เป็นปฏิปัตติ สามรอบ รอบไหนเป็นปฏิปัตติ (รอบที่สอง) เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีรอบแรกจะมีปฏิปัตติที่เป็นรอบที่สองได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นไปสำนักปฏิบัติเพื่อนั่งสมาธิเพื่ออะไร
- (คุณประกาศ - เพราะฉะนั้นท่านกำลังกล่าวว่า ปริยัติคือไม่มีใคร ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีใครไม่มีคนที่สามารถที่จะนั่งเพื่อประจักษ์แจ้งความจริง กำลังพิจารณาว่าเป็นความจริง)
- ไม่ใช่คุณแต่เป็นความห็นถูกหรือความเห็นผิด อะไรคือความเห็นถูกแต่ไม่ใช่คุณหรือใคร แต่คืออะไร เกิดขึ้นเข้าใจเมื่อไม่มีความเข้าใจเลยจะพูดว่าเข้าใจได้ไหม เพราะฉะนั้นตรงต่อความจริงและในสมัยพุทธกาลไม่มีสำนักปฏิบัติเลยใช่ไหม จะประจักษ์แจ้งความจริงขณะไหนก็ได้แต่ต้องเป็นไปตามลำดับรอบที่หนึ่งรอบที่สอง
- (คุณประกาศ - ในหลายพระสูตรกล่าวถึงท่านอนาถบิณฑิกะผู้สร้างพระวิหารมีการนั่งสวดมนต์ด้วย นั่นไม่ใช่สำนักปฏิบัติหรือ)
- ท่านอนาถบิณฑิกะประจักษ์แจ้งความจริงเมื่อไหร่ ที่ไหน (ไม่รู้คำตอบ) คุณสุขินช่วยตอบด้วย
- (คุณสุขิน - ท่านอนาถบิณฑิกะสร้างพระวิหารเชตวันให้พระพุทธเจ้าประทับ ท่านไม่ได้สร้างสำนักปฏิบัติ ท่านอนาถบิณฑิกะประจักษ์แจ้งความจริงหลังจากที่ได้ฟังพระธรรม ดังนั้นเป็นความคิดของคุณหรือเป็นความคิดของคนอื่นที่ว่าท่านอนาถบิณฑิกะสร้างสำนักปฏิบัติ เพราะว่ามีการนั่ง พวกเขานั่งเพื่อฟังพระพุทธเจ้า ไม่ได้นั่งทำสมาธิ)
- และก็มีอีกท่านหนึ่งที่ท่านบรรลุขณะที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว และขณะที่ล้างเท้าก็บรรลุความจริงได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับปัญญาว่าถึงระดับนั้นที่จะบรรลุความจริงหรือไม่ ไม่มีใครสามารถยับยั้งได้ ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยเหตุนี้ฟังคำของพระองค์และคำไหนที่ไม่มีทางเป็นคำของพระองค์ได้ เช่น ไปสำนักปฏิบัติเป็นคำของใคร แล้วไปทำอะไรที่สำนักปฏิบัติ ไม่ฟังคำสอนของพระองค์เลยใช่ไหม แล้วจะเข้าใจความจริงได้อย่างไร
- (คุณประกาศ - มีการให้คำแนะนำตอนเช้า ตอนเย็น และระหว่างที่นั่งสมาธิก็มีการแนะนำแนวทางในการนั่งสมาธิด้วย) การฟังคำสอนไม่ว่าที่ไหนๆ หรือเดี๋ยวนี้สามารถที่จะเข้าใจได้ไหม หรือว่าต้องไปที่สถานที่นั้นๆ เพื่อเข้าใจ นั่นไม่ใช่อนัตตา ถ้าต้องมีกฏเกณฑ์หรือว่ามีความคิดของเรา เป็นความคิดของตนเองว่าทำไมไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจเดี๋ยวนี้ได้ ไม่ว่าที่ไหน และถ้าไม่มีการสะสมการอบรมความเข้าใจที่มากพอ จะมีใครสามารถเข้าใจความหมายของธรรมไหม แม้แต่คำเดียวว่า ธรรม มีแต่ความคิดที่เป็นตัวตนเป็นอัตตาตลอดเวลา เราเห็น เขารู้ ทุกคน ฯลฯ
- แล้วจะมีความเข้าใจถูกได้อย่างไร เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้เพราะเป็นความจริง ไม่ได้หมายความว่า จริงที่นี่แต่ไม่จริงที่นั่น ความจริงเป็นความจริงทุกที่ทุกเวลา เพราะฉะนั้นตรงต่อความจริง ถ้าไม่ตรงต่อความจริงจะเข้าใจความจริงที่มีเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร
- เพราะฉะนั้นสมาธิคืออะไร (คุณประกาศ - การเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้) ไม่ใช่
- (คุณสุขิน - ภาวนาคือเดี๋ยวนี้ใช่ไหม เราต้องไปสถานที่หนึ่งสถานที่ใดเพื่อภาวนาไหม เข้าใจขณะไหน จะอยู่ในท่าไหน ต้องเป็นความเข้าใจถูกในขณะนั้น ไม่ใช่ไปทำอะไร ไม่ใช่ไปสถานที่ไหนๆ ใช่ไหม)
- วันนี้สวัสดีค่ะ


