ได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเมื่อเข้าใจ

 
เมตตา
วันที่  14 ส.ค. 2568
หมายเลข  50673
อ่าน  383

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ครับ เมื่อวานก็มีการสนทนาธรรมกลุ่มไลน์ คุณสุพรรณฤิทธิก็มาขอให้สนทนาในเรื่องนี้ ซึ่งผมคิดว่าจะมากราบเท้าสนทนากับท่านอาจารย์ แต่ว่าก็จะไม่ได้เป็นเรื่องประเด็นที่อาจารย์กุลวิไลนำสนทนา คืออยู่คนเดียว แต่เมื่อท่านอาจารย์กล่าวก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

คุณสุพรรณฤิทธิขอให้ช่วยให้ความเข้าใจหน่อยในเรื่องการที่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยชาวกัมพูชา รู้สึกไม่พอใจซึ่งกันและกัน แล้วก็มากขึ้นๆ ครับ คุณสุพรรณฤิทธิก็เลยบอกว่า มีคนที่ศึกษาธรรมะชาวกำพูชาเขาบอกว่า ตอนนี้เขาฟังธรรมะไม่รู้เรื่องแล้ว เพราะว่าเขารู้สึกทนไม่ได้กับสถานการณ์ที่มีการทำร้ายกันอย่างนี้ เขาไม่อยากฟังธรรมะแล้ว

คุณสุพรรณฤิทธิก็ได้กล่าวสิ่งที่ถูกต้องให้ชาวกัมพูชาเท่าที่ผมได้ฟังผมก็ยินดีที่คุณสุพรรณฤิทธิเห็นในประโยชน์ของพระธรรมก็ได้กล่าวไป ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องไม่มีข้อที่จะทดสอบความมั่นคงในธรรมะ เราจะไม่เห็นเลยว่า เรายังมีการไปตามกระแสของที่ไปตามอกุศลครับ แต่กระแสที่เป็นกุศลเหมือนเราทิ้งไปเลยครับ

กราบเท้าท่านอาจารย์โดยสรุปว่า การที่เราเหมือนจะไม่สนใจเหตุการณ์บ้านเมืองอะไรต่างๆ กลายเป็นการเห็นแก่ตัวไหม เราก็จะสนใจแต่ธรรมะอย่างเดียวเหตุการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรเราก็ไม่สนใจ ผมก็เลยตอบไปเคร่าๆ ว่า จะให้เราไปเป็นอกุศล เกลียดชังชิงชังกันจะเป็นประโยชน์อย่างไร และเมื่อวานก่อนท่านอาจารย์ได้ให้ข้อคิดที่ดีมากกับผมในเรื่องนี้ ที่ท่านอาจารย์ก็ได้มากล่าวในวันนี้ผมก็เลยพอได้แนวทางจากท่านอาจารย์ไป ผมเลยกล่าวไปว่า การที่ศึกษาพระธรรมแล้วได้เกื้อกูลให้คนอื่นได้เข้าถูก เพราะฉะนั้น เมื่อทุกคนได้เข้าใจพระธรรม ทุกคนมีกุศลเกิดเพิ่มขึ้นโดยการปรุงแต่งของปัญญา เป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องแล้ว

กราบเท้าท่านอาจารย์ อย่างในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ เหมือนกับว่า มูลนิธิก็จะไปมีส่วนอะไรที่จะช่วยเหลืออะไรในสถานการณ์อย่างนี้ได้บ้างครับ

ท่านอาจารย์: เหมือนไม่รู้จักพระรัตนตรัย ได้แต่พูดใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น พระรัตนตรัยคืออะไร? ไตรสรณคมณ์ ที่พึ่งใช่ไหม? หรือว่าเลิกพึ่งแล้ว พึ่งอย่างอื่น

ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง!! เมื่อเป็นผู้ที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ฟังคำของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า? ฟังแล้วประพฤติปฏิบัติตามหรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น ที่พึ่ง หมายความว่าอะไรกันแน่!! หมายความว่าเพียงแต่กล่าวอย่างนั้นหรือ? โดยไม่รู้ว่า ไม่มีที่พึ่งใดที่จะประเสริฐเท่ากับพระรัตนตรัยในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เห็นคุณไหม? ถ้าเห็นคุณแล้ว ใครก็ตามที่ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง สมควรมีอะไรเป็นที่พึ่งกันแน่? เพราะเหตุว่า ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป

เพราะฉะนั้น แต่ละคนรู้ไหมว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเป็นปัญหาใหญ่ของโลกของประเทศอะไรก็ตาม มาจากไหน? ไม่รู้หรือว่า ต้องมาจาก ใจ เท่านั้น จริงหรือเปล่า?

อ.อรรณพ: จริงครับ มาจากใจที่เต็มไปด้วยกิเลสอกุศล

ท่านอาจารย์: และใครจะเป็นที่พึ่งให้รู้ว่า ใจอย่างไรเป็นที่พึ่ง ใจที่เป็นอกุศลพึ่งได้ไหม? ใจที่เป็นกุศลพึ่งได้ไหม?

เพราะฉะนั้น ต้องมีความมั่นคงในการที่จะรู้ความจริง

ไม่ใช่บอกว่า พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ใจเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องมีความเคารพสูงสุดในพระรัตนตรัย ต้องไม่ลืมว่า ที่พึ่งสูงสุดในสังสารวัฏฏ์ทุกขณะด้วย ก็คือพระรัตนตรัย

เพราะฉะนั้น ที่ไม่ได้พึ่งพระรัตนตรัย เพราะยังไม่ได้เข้าใจพระรัตนตรัย ได้แต่พูดว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่จะพึ่งได้จริงๆ ต่อเมื่อได้ฟัง ทุกคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะเป็นอริยสัจจธรรม

เพราะฉะนั้น มีที่พึ่ง คือรู้ว่าใครเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่อกุศลเป็นที่พึ่ง แล้วกุศลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีผู้ที่ตรัสรู้ความจริงว่า ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล

เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตามจะมาที่มูลนิธิ มาเพื่อที่จะได้เข้าใจ และมีพระรัตนตตรัยเป็นที่พึ่ง สมควรไหมที่มูลนิธิจะทำหน้าที่นี้? เพราะว่าได้เข้าใจธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง แล้วไม่กล่าวให้คนอื่นได้เข้าใจ ผลจึงเป็นอย่างนี้ถ้าสมมุตว่าไม่มีใครกล่าวให้เข้าใจความจริงเลย

แต่ถ้ากล่าวแล้วเข้าใจความจริง รู้จักว่า ขณะไหนเป็นกุศลขณะไหนเป็นอกุศล ขณะนั้นมีที่พึ่งของแต่ละบุคคล ไปพึ่งคนอื่นได้ไหมล่ะ ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่มูลนิธิไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ได้ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เพราะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดให้คนเข้าใจความหมายของคำว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และมูลนิธิก็จะทำหน้าที่นี้ตลอดไปเมื่อได้มีการศึกษาโดยละเอียดโดยมีความเคารพสูงสุด ทุกอย่างหมดไม่พ้นจากจิต และเจตสิก และรูป

ทุกอย่างเกิดดับทั้งนั้นต้องสิ้นสุด แล้วจะสิ้นสุดลงประการใด ก็เป็นเรื่องของใจของแต่ละคนที่รวมกันกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของความเข้าใจถูก โดยไม่ลืมว่า ทุกคนต้องจากโลกนี้เดี๋ยวนี้ก็ได้ กำลังโกรธแค้นแสนสาหัสก็จากไปได้ ผลคืออะไร?

เพราะฉะนั้น ใครจะรู้ว่า จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่? ขณะไหน? กำลังโกรธแค้นนั่น ไปไหน?

เพราะฉะนั้น ที่พึ่งสูงสุด คือพระรัตนตรัย ถ้าเราจะถูกทำร้าย ใครจะทำร้ายเราได้ไหม? เพราะได้กระทำเหตุที่จะให้เกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทางกาย ห้ามไม่ได้เลยว่าจะวิธีไหน จะตกบันไดก็ได้ ตกเขาก็ได้ ไปถูกลูกระเบิดอะไรก็ได้ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่เคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการฟังคำของพระองค์ให้รู้ความจริง ให้เข้าใจความจริง และประพฤติตามเมื่อเข้าใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจก็ประพฤติตามได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุด คือได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเมื่อเข้าใจสำหรับทุกคนทุกโลก ไม่ใช่เฉพาะเหตุการณ์อย่างนี้เท่านั้น

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์กล่าว ยิ่งเห็นเลยว่า ความมั่นคงต่อพระรัตนตรัยมั่นคงแค่ไหน เพราะฉะนั้น ดูๆ เหมือนกับว่า ที่คุณสุพรรณฤิทธิได้ฟังว่า ชาวเขมรคนนี้เขาก็สนใจพระธรรมมาฟังมาศึกษา แต่พอมีเหตุการณ์อย่างนี้ก็คือหมดความสนใจที่จะศึกษาพระธรรมไปเลย ก็เหมือนทำลายสรณะไปด้วยเหตุอย่างนี้

ก็กราบเท้าท่านอาจารย์อีกนิดว่า ไม่ว่าจะในยามใด จะมีปัญหาอะไร ความขัดแย้งกัน สู้รบหรืออะไรต่างๆ การที่จะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์วุ่นวายอะไร ผมก็ทราบว่าท่านอาจารย์มั่นคงที่จะให้ความเข้าใจธรรมะกับผู้ที่ประสงค์ และพร้อมที่จะฟังธรรมสนทนาธรรมในทุกยามในทุกสถานการณ์แน่นอน แต่ทีนี้ความที่เป็นโลกียสรณะคมณ์นี่ไม่แน่นอน ถ้ามีสรณะนิดๆ หน่อยๆ พอเหตุการณ์อะไร ทิ้งเลย ทำลายสรณะซะเลยอย่างนี้ครับ ความมั่นคงที่จะไม่ทำลายพระสรณะแม้เป็นโลกียสรณคมณ์ โลกียสรณคมณ์จะมั่นคงในทุกยามเพราะอะไรครับ?

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่เข้าใจเลย จะมั่นคงไหม? ได้แต่พูดได้แต่กล่าว มีคนพูดตั้งเยอะใช่ไหม พุทธัง สรณัง คัชฉามิ แต่ไม่รู้ว่าอะไร ธัมมัง สรณัง คัชฉามิ สังฆัง สรณัง คัชฉามิ พูดไม่ยาก แต่ว่าพูดแล้วเข้าใจอะไร หรือไม่เข้าใจอะไรเลย

อ.อรรณพ: คิดแล้วก็น่าสลดใจครับ หวั่นไหวไปตามกระแสของชาวโลก เป็นกระแสที่เป็นทุกข์เป็นความเดือดร้อน เป็นความอะไรต่ออะไรครับ จนกระทั่งเหมือนลืมพระรัตนตรัยไป ท่านอาจารย์มาเตือนสติในวันนี้ครับ ลืมพระรัตนตรัยไม่มีที่พึ่ง เหมือนคนอยู่กลางทะเลครับ มีทุ่นอะไรพอจะเกาะได้เพราะว่า เกิดความหงุดหงิด คลั่งอะไรขึ้นมา ก็เลยสบัดหลุดไปจมน้ำครับ ก็เลยเป็นอะไรให้เห็นว่า พระธรรมมีประโยชน์ในทุกยามในทุกสถานการนะครับ

และก็มีประเด็นอีกครับ มีผู้กราบเรียนถามท่านอาจารย์ แล้วท่านมาเผยแพร่ให้ทราบว่า ถามท่านอาจารย์ว่า เหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ นี่ครับ ที่ไม่สงบ ความขัดแย้งระหว่างประเทศจะจบอย่างไร ท่านอาจารย์ก็ตอบว่า ตามเหตุตามปัจจัย ก็กราบเรียนถามท่านอาจารย์ช่วยขยายด้วยครับ

ท่านอาจารย์: ถูกไหมล่ะ แค่นี้!?

อ.อรรณพ: คือตอบได้ว่า ถูก

ท่านอาจารย์: แต่ไม่ใช่แค่คำพูด ไม่ใช่แค่คำพูด คำนี้ถูกต้อง แต่ไม่ใช่แค่พูด

อ.อรรณพ: ไม่ยากที่จะพูด

ท่านอาจารย์: คำนี้ไม่เปลี่ยนเลย!! ตามเหตุตามปัจจัยทุกขณะจิตใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ในขณะนี้ก็ตามเหตุตามปัจจัยทุกขณะ

ท่านอาจารย์: แน่นอนๆ จบลงนี่ หนึ่งขณะๆ ๆ ๆ แล้วก็ เกิดต่อๆ ๆ ๆ ตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมด

อ.อรรณพ: คำตอบท่านอาจารย์ก็เหมือนกับ ขณะนี้นั่นเองใช่ไหมครับ?

ท่านอาจารย์: แน่นอน พระธรรมไม่เปลี่ยน ทุกคำไม่เปลี่ยน ความจริงไม่เปลี่ยน

อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทุกขณะ ไม่ว่าจะในขณะไหนๆ ต่อไป ขณะนี้ก็ไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วต่อๆ ไปจะมีเหตุปัจจัยให้ทุกขเวทนาเกิด หรือมีเหตุปัจจัยให้กุศลเกิดอกุศลเกิด ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเหมือนตอนนี้

ท่านอาจารย์: แม้แต่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจมากน้อยอย่างไร จะคิดอย่างไร ก็ตามเหตุตามปัจจัยใช่ไหม? ต้องเข้าใจ มั่นคงขึ้นๆ แม้คำแสนสั้น แต่ความลึกซึ้งจริงหรือเปล่า?

อ.อรรณพ: นี่ครับ ถึงได้กราบเท้าสนทนา ตามเหตุตามปัจจัย คำตอบนี้ครับ ความจริงนี้ตามเหตุตามปัจจัยตลอดสังสารวัฏฏ์เลยครับ ไม่ใช่เฉพาะมีเหตุวุ่นวายตอนนี้ตอนโน้น สบายดีครับตามเหตุตามปัจจัย

เชิญฟังเพิ่มได้ที่..

จะพึ่งใคร

ขอเชิญฟังวิดีโอได้ที่..

ที่พึ่งที่แท้จริง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ส.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ