ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้เป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว

 
เมตตา
วันที่  13 ส.ค. 2568
หมายเลข  50667
อ่าน  391

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม 2 - หน้า 781

๑๐. เถรนามสูตร

ว่าด้วยเรื่องภิกษุรูปหนึ่งชื่อเถระ

[๗๒๐] ดูก่อนเถระ ก็การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างไร ในข้อนี้ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว สิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็สละคืนได้แล้ว ฉันทราคะในการได้อัตภาพที่เป็นปัจจุบันถูกกำจัดแล้วด้วยดี การอยู่คนเดียวย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างนี้แล.

[๗๒๑] พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และไตรภพทั้งหมดได้ ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้น ในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ว่าเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ดังนี้.

จบเถรนามสูตรที่ ๑๐


อ.อรรณพ: วันนี้ก็สนทนาเรื่องของอยู่คนเดียว ซึ่งในพระไตรปิฎกก็มีความลึกซึ้งมากครับ เพราะว่าถ้าเราไม่ได้ศึกษาจริงๆ เราก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าบางคนก็มีอัธยาศัยที่เขาจะไปไหนมาไหน หรืออยู่บ้านคนเดียวอย่างนี้ครับ แต่ว่าก็มีข้อความในเถระ นามสูตร สังยุตตนิกาน นิทานวรรค ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุผู้มีชื่อว่า เถระ ในเรื่อง ความเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ครับ ซึ่งก็มีความละเอียดลึกซึ้งในทุกข้อความที่พระองค์ตรัส ผมก็กราบเท้าถามท่านอาจารย์ในบางข้อความครับ แต่จะขออนุญาตอ่านพระคาถาที่พระองค์ได้ตรัสไว้สั้นๆ แต่ว่าในแต่ละข้อก็ลึกซึ้งจริงๆ ครับ พระองค์ตรัสกับพระภิกษุผู้มีนามว่า เถระ ซึ่งมีอัธยาศัยอยู่คนเดียวว่า เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และไตรภพทั้งหมดได้ ผู้รู้ทุกๆ อย่างผู้มีปัญญาดี ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมะทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้นในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหาว่า เป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ดังนี้

กราบเท้าท่านอาจารย์สักข้อความหนึ่ง พระองค์ตรัสข้อความแรกว่า เราย่อมเรียกชนผู้ครอบงำขันธ์ ธาตุ อายตนะ และไตรภพทั้งหมดได้ ครับ เอาแค่ว่า ข้อความแรกก็ลึกซึ้งครับว่า ผู้ครอบงำขันธ์ เป็นผู้อยู่ผู้เดียว

ท่านอาจารย์: เวลานี้ที่ตัวคุณอรรณพมี ขันธ์ มีแข็งไหม?

อ.อรรณพ: มีแข็ง

ท่านอาจารย์: ใครล่ะ?

อ.อรรณพ: ตัวผม ยึดว่าเป็นตัวผมครับ

ท่านอาจารย์: อยู่คนเดียวหรือเปล่า?

อ.อรรณพ: ไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะว่ามีผม

ท่านอาจารย์: ก็กำลังแข็ง ไม่มีคนอื่นมานั่งรวมอยู่ด้วยเลยไม่ใช่มีทั้งหมด เฉพาะแข็งอย่างเดียวนั่นผู้เดียวหรือเปล่า?

แม้ไม่ใช่บุคคลใดทั้งสิ้น แต่กว่าจะถึงการแข็งนั้นไม่ใช่เราเลย ก็ต้องรู้ว่าขณะที่รู้แข็งนั่นไม่มีใครทั้งสิ้น ตัวคนเดียวที่กำลังรู้แข็ง ที่เคยเป็นเราอยู่กับคนนั้นคนนี้ กำลังพูดกำลังคุยแล้วก็ต้องมีการแตะต้องแขนขาบ้าง แข็ง อยู่กับคนอื่นทั้งนั้นไม่ได้เคยคิดเลย แข็ง ตรงนั้นเป็นเฉพาะแข็งที่มีอย่างเดียวทั้งนั้น แล้วไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น กว่าจะถึงอย่างนั้น!! แข็งเป็นแข็ง จะไม่ใช่แข็งอื่นมาเป็นแข็ง แข็งที่เคยเป็นเราคนเดียวนั่นเป็นแข็ง แม้เป็นคนเดียวก็ยังคงเป็นเรา จนกว่าจะแข็งเป็นแข็ง

อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น แม้ที่ว่า อยู่คนเดียวถ้าแม้ตอนนี้ไม่ได้มีคนอื่นเลย แต่ในขณะที่ แข็ง ยังไม่ได้ปรากฏด้วยดีก็ยังไม่ใช่เป็นการอยู่คนเดียว ใช่ไหมครับ?

ท่านอาจารย์: ค่ะ เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานใช่ไหมที่ว่าคนเดียว?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ ก็อย่างที่ อ.วิชัย สนทนาเมื่อสักครู่

ท่านอาจารย์: เมื่อเป็นสติที่ระลึกตรงนั้น จะมีคนอื่นได้อย่างไร?

อ.อรรณพ: มีเพียงสภาพธรรมะหนึ่งเดียวที่มีลักษณะที่ปรากฏครับ

แล้วก็สมกับที่ท่านแสดงถึง เพราะว่าถ้าเผินๆ คนก็จะ เอ๊ะ!! ท่านกล่าวทำไมว่า สิ่งที่กำลังมีก็ไม่ใช่สิ่งที่ล่วงไปแล้ว และไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่มาถึง ท่านก็จะกล่าวอย่างนี้อยู่เรื่อย ซึ่งคนฟังเผินๆ ก็ใช่ซิ สิ่งที่ล่วงไปแล้วก็ล่วงไปแล้ว สิ่งที่ยังไม่มาถึงก็ยังไม่มาถึง สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ล่วงไปแล้ว และไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่มาถึง แต่ในความละเอียด ก็คือที่จะได้เข้าใจอย่างนี้ครับ

ท่านอาจารย์: ไม่เข้าใจอย่างนี้นะ ก็ยังสามารถที่จะเข้าใจถึงขณะนั้นว่า สิ่งที่กำลังมีนี่รู้แล้วเป็นอดีต และสิ่งที่เกิดในขณะนั้น ก็คือสิ่งที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น เห็นไหม? คลอบคลุมความจริงทั้งหมด

อ.อรรณพ: ชัดเจนมากครับ ครอบคลุมความจริงทั้งหมด ภาษาท่านก็คือภาษาแปลของท่าน ก็คือผู้ครอบงำขันธ์ ธาตุ อายตนะ และไตรภพคือภพสาม ซึ่งก็ไม่พ้นจากขันธ์ ธาตุ อายตนะ เพราะเป็นสภาพธรรมะ

เพราะฉะนั้น ครอบงำขันธ์ เป็นต้น ก็คือปัญญา รู้ในความเป็นธรรมะที่เป็นแต่ละขันธ์ แต่ละอย่างๆ ตามความเป็นจริง จึงเป็นผู้อยู่ผู้เดียวเพราะไม่มีผู้อื่นด้วย และแม้แต่ตัวเองก็ไม่มีด้วย เพราะเป็นสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งที่กำลังปรากฏ แล้วสิ่งนั้นก็ต้องดับไปล่วงไป ไพเราะมากครับ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสในพระคาถานี้ก็มีข้อความที่น่าพิจารณาว่า ผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว ก็คือผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ครับ ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้เป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าขณะนั้นไม่ได้มีแต่แข็ง ก็มีทุกอย่างหมดเลยทั้งโลกใช่ไหม?

อ.อรรณพ: เต็มไปหมดครับ

ท่านอาจารย์: จะอยู่ผู้เดียวได้ไหมในเมื่อมันเต็มไปหมด แต่ขณะที่มีเฉพาะแข็ง โลกทั้งหมดไม่มี

อ.อรรณพ: แม้เราจะคิดว่า เป็นตัวทุกอย่างที่ไม่ใช่สัตว์บุคคลเป็นสิ่งของต่างๆ ก็ไม่ใช่อยู่ผู้เดียว

ท่านอาจารย์: สิ่งหนึ่งสิ่งใด ความหมายของอัตตา

อ.อรรณพ: ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้น

ท่านอาจารย์: เคยเป็นพัดลม เคยเป็นเก้าอี้ ละสิ่งทั้งปวง มันไม่มี (สิ่งทั้งปวง) มีแต่ธาตุ มีแต่ธรรมะจริงๆ ที่ปรากฏ

อ.อรรณพ: จึงครอบงำขันธ์ ธาตุ อายตนะ รวมทั้งภพทั้งสามซึ่งก็ไม่พ้นจากสภาพธรรม

ท่านอาจารย์: เห็นไหม ความลึกซึ้งของพระธรรม ถ้าไม่รู้อย่างนี้ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อ.อรรณพ: แม้ในพระคาถาที่ประพันธ์ที่พระองค์ตรัส

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครเชื้อชาติใดคนไหนทั้งสิ้น มามูลนิธิเพื่อมีพระธรรมเป็นที่พึ่งเพื่อมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะปิดกั้นเขาไหม?

อ.อรรณพ: ไม่ปิดกั้นครับ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่

ท่านอาจารย์: เห็นไหมว่า เขามาเพื่ออะไร เราไม่ต้องไปคิดถึงความต่างกันของบุคคลในสังสารวัฏฏ์ในแสนโกฏกัปป์ แต่ละคนก็เป็นมาแล้วทั้งนั้นทั้งอกุศลทั้งอะไรมาแล้วสารพัด แต่มามูลนิธิทำไม?!

แล้วเราไม่ได้ทำสิ่งอื่นเลยทั้งสิ้น นอกจากเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และมีการที่จะให้บุคคลอื่นได้สามารถเข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งด้วย ไม่ว่าเขาเป็นใคร สถารการณ์อย่างไร ที่ไหน เขามามูลนิธิเพื่อมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราไม่สมควรจะให้หรือ?

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..

เป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว [เถรนามสูตร]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ