อุเบกขา ๑๐

สำหรับอุเบกขามี ๑๐ อย่าง ซึ่งได้กล่าวถึงแล้ว สำหรับวันนี้ก็เป็นการทบทวนเพื่อที่จะได้ทราบว่า ในวันหนึ่งๆ ที่เข้าใจว่า วางเฉยบ้าง สำหรับบางท่าน จะเป็นการวางเฉยในอุเบกขาประเภทใด
สำหรับ อุเบกขา ๑๐ คือ
๑. ฉฬังคุเปกขา เป็นจิตของพระอรหันต์เมื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ คิดนึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่าเป็นผู้ดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้นก็ไม่มีผู้ใดที่จะมีฉฬังคุเปกขาแน่นอน นอกจากผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้น
๒. พรหมวิหารุเปกขา อุเบกขาที่เป็นพรหมวิหาร ไม่หวั่นไหวเป็นกลางในสัตว์ ในบุคคลทั้งหลาย คือ ไม่หวั่นไหวเอนเอียงไปด้วยความรักและความชัง ในชีวิตประจำวันก็จะต้องเป็นผู้ละเอียดที่จะรู้ว่า หวั่นไหวหรือเปล่า หรือว่าเป็นกลางหรือเปล่า ในสัตว์ ในบุคคลทั้งหลาย
๓. โพชฌังคุเปกขา ได้แก่ อุเบกขาที่เป็นองค์ที่จะให้ตรัสรู้อริยสัจจธรรม ซึ่งเป็น วิปัสสนาญาณที่อบรมเจริญถึงขั้นต่อการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ยังอีกไกล
๔. วิริยุเปกขา สำหรับผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนา เป็นความเพียรที่ไม่ตึงนัก ไม่หย่อนนัก เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่ไม่ได้เจริญสมถภาวนาที่จะให้ถึงสมาธิขั้นต่างๆ ขณะนั้นก็จะไม่มีวิริยุเบกขา
๕. สังขารุเปกขา ได้แก่ ปัญญาที่ได้ประจักษ์ไตรลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมจนชิน จนละคลาย จนละวาง จนใกล้ต่อการละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
เพราะฉะนั้นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานก็ย่อมเป็นผู้รู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า เมื่อปัญญายังไม่ถึงขั้นวิปัสสนาญาณขั้นสูงขึ้นๆ สังขารุเปกขาญาณก็เกิดไม่ได้
๖. เวทนุเปกขา คือ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ อันนี้เป็นสิ่งที่มีได้ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ
๗. วิปัสสนูเปกขา ได้แก่ ปัญญาเจตสิกที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของไตรลักษณ์
๘. ตัตตรมัชฌัตตตุเปกขา ก็ได้แก่ ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิกที่เกิดกับโสภณจิต นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดในขณะที่จิตเป็นกุศล
๙. ฌานุเปกขา ได้แก่ ตัตตรมัชฌัตตตาในตติยฌานโดยจตุตถนัย และจตุตถฌานโดยปัญจกนัย
๑๐. ปาริสุทธุเปกขา ก็ได้แก่ ตัตตรมัชฌัตตตาในจตุตถฌานโดยจตุตถนัย หรือปัญจมฌาน โดยปัญจกนัย


