ความตั้งใจอยากปฏิบัติเป็นโลภะหรือเปล่า

ถาม ความตั้งใจอยากปฏิบัติเป็นโลภะหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ถ้าเปลี่ยนเป็นความอยากเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะดีกว่าไหม
ผู้ฟัง ก็หมายความว่า ...
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของปัญญา ไม่ใช่เป็นศาสนาของความงมงายไร้เหตุผล เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรทั้งสิ้น เหตุกับผลต้องตรงกัน
ผู้ฟัง ทีนี้เราก็มีความตั้งใจที่ประกอบด้วยโลภะ เพราะว่า ...
ท่านอาจารย์ ถ้าประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ความเห็นผิด อันนั้นเป็นฉันทะ ไม่ใช่โลภะ มีสภาพธรรม ๒ อย่างที่คล้ายกัน แต่ว่าโลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง ฉันทะเป็นสภาพที่พอใจที่จะกระทำกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้
ผู้ฟัง ทีนี้เราจะแยกได้อย่างไร เมื่อไรเกิดโลภะ เมื่อไรเกิดฉันทะ
ท่านอาจารย์ ถ้าขณะที่ติดข้องด้วยความเป็นตัวเรา ขณะที่ยึดมั่นติดข้อง ไม่ปล่อย เป็นเรา ขณะนั้นเป็นโลภะ ทุกอย่างที่ต้องการให้เป็นของเรา แม้แต่ปัญญาของเราก็เป็นโลภะด้วย
ผู้ฟัง ...
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเกิดเองไม่ได้เลย แม้แต่เราทุกคนก็คงอยากจะเป็นคนดี เรารักคนดี เวลาที่มีใครเป็นคนดีให้เราเห็น เราก็ชื่นชม อยากจะเหมือนอย่างเขา แต่รู้สึกว่าเราทำไม่ได้ เพราะว่าสะสมมาไม่เหมือนกัน แต่ละคนที่ต่างๆ กันไป ไม่เหมือนกันเลย ก็เพราะเหตุว่าสะสมมาต่างๆ กัน สะสมทางฝ่ายอกุศลก็วิจิตรประณีตมาก ถ้าศึกษาชีวิตแต่ละชีวิตในพระไตรปิฎก และทางฝ่ายกุศลก็วิจิตรต่างๆ กันไปมาก ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าในสมัยพระไตรปิฎกหรือในสมัยนี้ คนเราก็ต่างกันไป แต่ว่าทุกคนสามารถจะอบรมเจริญปัญญา แล้วก็ละคลายกิเลสได้ ไม่ควรที่จะท้อถอย หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตามตามความเป็นจริง ไม่รีบร้อน ไม่ฮวบฮาบ เพราะเหตุว่าเรามีอวิชชามากมายเหลือเกินในแสนโกฏิกัปป์ แล้ววันนี้เราจะให้หมด เป็นไปได้ไหม หรือว่าเดือนนี้ ปีนี้ ชาตินี้ เราจะดับกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นผู้ที่ตรงต่อตัวเอง ถึงได้เป็นผู้ที่เข้าใจว่า ปัญญารู้อะไร ถ้าปัญญายังไม่รู้ ก็หมายความว่าถูกกิเลสหลอกว่า เรารู้มาก แต่ความจริงแล้วบางคนอาจจะคิดว่า ละเสียตั้งเยอะแยะแล้ว ไม่ติดโน่นไม่ติดนี่ แต่ตราบใดที่ปัญญาไม่เกิด ขอให้รู้ว่าถูกกิเลสหลอกอีก ไม่ได้ละอะไรเลย แต่เข้าใจว่าละ เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้อะไร เมื่อไม่รู้แล้วจะละได้อย่างไร ความรู้ก็ละความไม่รู้ แต่ว่าถ้ายังคงไม่รู้ ก็จะไปละความไม่รู้ไม่ได้


