อบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น

เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งๆ ในชีวิตตามความเป็นจริงซึ่งจะต้องอยู่กันต่อไปอีกทีละวันๆ ๆ เรื่อยไป จนกว่าจะสิ้นสุดชาติหนึ่ง แล้วก็ต่ออีกชาติหนึ่งๆ ก็ควรจะเป็นผู้รู้จักชีวิตของตนเองตามปกติว่ายังเป็นผู้อยากได้รูป อยากได้เสียง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากได้โผฏฐัพพะ แต่ก็เป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาด้วย
นี่เป็นสิ่งซึ่งควรจะพิจารณา ไม่ใช่กิเลสดับไปหมดแล้ว กิเลสยังมี และก็ยังอยากได้ทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ แต่ก็เป็นผู้ที่กำลัง อบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะได้เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้กุศลเจริญขึ้นตามขั้นของปัญญาที่ได้ฟัง เป็นอนัตตาจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าฟังยังน้อยอยู่ และก็ยังเข้าใจไม่มาก การที่จะให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม และปัญญาแทงตลอดในลักษณะที่เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ยังเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องอาศัยการอบรม ในขณะนี้ที่กำลังฟังอยู่อย่างนี้ ก็กำลังเป็นขณะที่อบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่พิจารณาตนเองตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะละกิเลสของแต่ละคนได้ นอกจากทุกคนจะต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้จักตัวเอง แล้วก็ละคลายอกุศล


