จิตสงบด้วยพรหมวิหาร ๔

เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ซึ่งมีการพบปะบุคคลอื่น เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น และไม่ได้เป็นไปในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ก็ควรที่จะให้ จิตสงบด้วยพรหมวิหาร ๔ ซึ่งได้ยินกันบ่อยมาก แล้วก็เป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะในชีวิตประจำวันมีใครบ้างที่จะไม่เห็นคนอื่น มีผู้ที่เฉยๆ มีผู้ซึ่งเป็นที่รัก มีผู้ซึ่งเป็นที่ชัง มีผู้ที่ใกล้ชิด มีผู้ที่ห่างไกล ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นทุกบุคคล ขณะนั้นไม่ใช่เรื่องของทาน ไม่ใช่เรื่องของศีล แต่ก็ควรจะเป็นการอบรมเจริญความสงบของจิตด้วยพรหมวิหารหนึ่งพรหมวิหารใดในพรหมวิหาร ๔ คือ ๑. เมตตา ๒ . กรุณา ๓. มุทิตา ๔. อุเบกขา
๑. เมตตา ได้แก่ อโทสเจตสิก กรุณา ได้แก่ กรุณาเจตสิก มุทิตา ได้แก่ มุทิตาเจตสิก อุเบกขา ได้แก่ ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก
ทุกวันไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย บางขณะที่มีจิตเมตตา ไม่รู้เลยว่าอะไร สภาพธรรมนั้นคืออะไร แต่ว่ายึดถือว่าเป็นเราที่เมตตา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เรา ขณะที่เมตตานั้นเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงชนิดหนึ่งซึ่งทำกิจของสภาพธรรมนั้น ซึ่งเจตสิกอื่นทำกิจของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย เมื่อเมตตาเจตสิกเกิด ก็ต้องทำกิจของเมตตา โดยที่เจตสิกอื่นจะทำกิจของเมตตาไม่ได้
๒. สำหรับกรุณา ได้แก่ กรุณาเจตสิก ขณะที่เห็นบุคคลที่ยากไร้หรือว่าตกทุกข์ได้ยาก แล้วมีจิตใคร่ที่จะให้บุคคลนั้นพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการอนุเคราะห์ช่วยเหลือต่างๆ ในขณะนั้นก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นกรุณาเจตสิก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลใดๆ เลย แต่ไม่ชินกับสภาพธรรม แต่ชินกับความรู้สึก เวลาที่เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก แล้วเกิดการคิดที่จะช่วยเหลือ ความรู้สึกอย่างนี้มีใช่ไหม ขณะนั้น แต่เมื่อไม่รู้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง เป็นเจตสิกฝ่ายดี เป็นโสภณเจตสิกซึ่งเกิดกับกุศลจิต โสภณจิต ก็เข้าใจว่าเรากำลังกรุณา แต่ความจริงไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่ากรุณาเจตสิกต่างหากที่เป็นโสภณเจตสิกเกิดขึ้นทำกิจกรุณาในขณะนั้น
๓. พรหมวิหารที่ ๓ คือ มุทิตา การพลอยยินดีด้วยกับความสุขของคนอื่น ได้แก่ มุทิตาเจตสิก เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เวลาเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้น ก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง แม้ว่าจะยังไม่รู้จักชื่อภาษาบาลี แต่ก็เริ่มศึกษา เริ่มรู้ในลักษณะนั้นๆ ว่า เป็นสภาพที่ต่างกัน เมตตาเจตสิกเป็นอย่างหนึ่ง กรุณาเจตสิกเป็นอย่างหนึ่ง มุทิตาเจตสิกเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นสภาพของเจตสิกแต่ละอย่างๆ ๆ จริงๆ และก็อีกหน่อยก็จะค่อยๆ ชินกับชื่อในภาษาบาลี ซึ่งความจริงบางท่านอาจจะคิดว่าไม่จำเป็น ที่จะต้องจำชื่อของภาษาบาลี เพราะว่าสามารถที่จะสังเกตรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้ แต่ว่าถ้าจำได้ ก็มีประโยชน์ เพราะเหตุว่าภาษาบาลีเป็นภาษาสากลสำหรับพุทธศาสนา สำหรับคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าชาติใดภาษาใดก็ใช้ภาษาบาลีทั้งนั้น
๔. พรหมวิหารที่ ๔ คือ อุเบกขา ได้แก่ สภาพที่เป็นกลาง สม่ำเสมอในอารมณ์ ไม่ตกไปทางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด คือ ด้วยโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ ได้แก่ ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก


