หน้าที่ของผู้ฟังต้องเห็นความลึกซึ้ง

[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม 1 ภาค 1 - หน้า 272 272
ลำดับนั้น อุปติสสปริพาชก จึงถามพระเถระนั้นว่า ก็พระศาสดาของท่านผู้มีอายุ มีวาทะอย่างไร กล่าวอย่างไร. พระเถระคิดว่า ธรรมดาปริพาชกทั้งหลายนี้ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปริพาชกนี้ เมื่อจะถ่อมตนว่า เรายังเป็นผู้ใหม่จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ เราแลเป็นผู้ใหม่บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่มาสู่พระวินัยนี้ เราไม่อาจแสดงธรรมโดยพิสดารได้ก่อน. ปริพาชกคิดว่า เราชื่อว่า อุปติสสะ ท่านจงกล่าวน้อยหรือมากตามความสามารถ การแทงตลอดธรรมนั่นด้วยร้อยนับพันนัย เป็นภาระของเรา จึงกล่าวว่า
อปฺปํ วา พหุํ วา ภาสสฺสุ อตฺถํเยว เม พฺรูหิ
อตฺเถเนว เม อตฺโถ กึ กาหสิ พฺยญฺชนํ พหุํ
ท่านจงกล่าวเถิด น้อยก็ตามมากก็ตาม จงกล่าวเฉพาะแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความเท่านั้น. ท่านจะทำพยัญชนะให้มากไปทำไม.
อ.อรรณพ: แม้ในคลิปที่ท่านอาจารย์กล่าวตั้งแต่เมื่อปี ๒๕๕๔ ที่มาเปิดเมื่อวาน ท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า ที่สำคัญที่สุด ก็คือจิตที่เป็นธาตุรู้ และเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่า รู้จักคำพูดไหม? คำพูดก็คือเสียงที่ต้องเกิดขึ้น เสียงก็เป็นธรรมะก็ต้องเกิดขึ้นจากธาตุรู้ที่มีความประสงค์เป็นไปที่จะกล่าวเช่นนั้น ก็ยิ่งเห็นประโยชน์เลยที่ท่านอาจารย์พูดว่า ประโยชน์ของการศึกษาเพื่อเข้าใจความเป็นธาตุรู้ มิเช่นนั้น เราก็ไม่รู้จัก คำพูด ที่เป็นเสียง แต่ละเสียงๆ จนกระทั่งเป็นความหมายของคำขึ้น แล้ว การที่จะรู้ความหมาย การที่จะกล่าวเป็นคำพูดออกไปก็เพราะธาตุรู้ แล้วการที่จะเข้าใจในคำพูดของบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ไม่ดี หรือคำพูดที่ประเสริฐ ก็ต้องเป็น ธาตุรู้ ที่รู้ที่เข้าใจในคำนั้นๆ
เป็นประโยชน์ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเช่นนี้ จะทำให้ไม่หลงไปที่จะไปสนใจว่า เอ๊ะ!! เราจะพูดอย่างไรดี ให้เป็นวาจาสุภาษิต วาจาสุภาษิตมี ๔ บ้าง มี ๕ บ้าง แล้วแต่พระสูตรโน้นพระสูตรนี้นะครับ ขณะนั้นก็ลืมธาตุรู้ ก็เป็นประโยชน์มากครับที่ท่านอาจารย์ก็ เน้นถึงประโยชน์อยู่เสมอๆ
กราบเท้าท่านอาจารย์การที่จะเข้าใจในสภาพที่เป็นธาตุรู้ ลึกซึ้งมากๆ ครับ ทั้งๆ ที่มีธาตุรู้อยู่ตลอด ขณะนี้ก็มีธาตุรู้ที่คิดที่พูดแต่การที่จะรู้ในความเป็นธาตุรู้นั้นลุ่มลึกมากครับ ท่านอาจารย์จะกล่าวถึงความลุ่มลึกของความเป็นธาตุรู้ให้พวกเราได้ฟังเพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น รู้จักธาตุรู้เพิ่มขึ้นอีกสักนิดครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่ลึกซึ้ง จะมีอริยสัจจธรรมถึง ๓ รอบไหม?
อ.อรรณพ: ถ้าไม่ลึกซึ้งก็ไม่มีอริยสัจจธรรมถึง ๓ รอบครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ใครจะกล่าวมากคำน้อยคำอย่างไร (อุปติสสมานพ) หน้าที่ของผู้กล่าว แต่หน้าที่ของผู้ฟัง ก็คือพิจารณาละเอียดเพื่อที่จะเข้าใจความลึกซึ้งตัวธรรมะจริงๆ
อ.อรรณพ: พิจารณาละเอียดเพื่อเข้าใจ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เราฟังอย่างนี้เราคิดตามท่านพระสารีบุตรไหม? หน้าที่ของคนพูดจะพูดกี่คำมากน้อยเป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ของคนฟังเข้าใจความลึกซึ้งความละเอียดของสิ่งที่ได้ฟังมากน้อยแค่ไหน แม้แต่ธาตุรู้? กำลังมีด้วย ใครจะพูดว่าอย่างไร หน้าที่ของผู้ฟังต้องเห็นความลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น ผู้พูดจะไปทำอะไรให้ผู้ฟังไม่ได้เลย จะให้เขาเข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของผู้พูด เป็นหน้าที่ของผู้ฟัง
อ.อรรณพ: นี่ครับที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงท่านอุปติสสะ คือท่านพระสารีบุตรที่ท่านจะกล่าวคำนั้นกับท่านพระอัสสชิว่า จะมากจะน้อยก็ขอให้ท่านพระอัสสชิกล่าวเถิด หน้าที่ของท่านเอง คือฟัง และไตร่ตรองที่จะเข้าใจในความละเอียดลึกซึ้งของคำนั้นไม่ว่าจะน้อยจะมาก ที่ท่านอุปติสสะท่านกล่าวอย่างนี้ ท่านอาจารย์ครับ ท่านบำเพ็ญบารมีมา ๑ อสงไขย แสนกัปป์แล้ว แล้วกำลังจะได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันจากคำของท่านพระอัสสชิ
เพราะฉะนั้น ที่ท่านอาจารย์พูด ผมก็เลยเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกนิดในความละเอียดว่า หน้าที่ของผู้ฟัง ก็คือใส่ใจสนใจไตร่ตรองอย่างละเอียดเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งในคำกล่าว ตอนนี้ถ้าไม่กล่าวถึงท่านพระสารีบุตรซึ่งสูงมาก แล้วท่านต้องพร้อมจริงๆ ที่ท่านกล่าวอย่างนั้นหมายความว่าท่านมีความพร้อมที่จะใส่ใจในแต่ละคำแล้วเข้าใจในความลึกซึ้งของคำที่ท่านพระอัสสชิกล่าว แล้วท่านก็สามารถเข้าใจในความลึกซึ้งของธรรม อ าศัยจากคำที่ท่านได้ฟังจากท่านพระอัสสชิ ท่านจึงได้เป็นพระโสดาบันบุคคล
ส่วนมาขณะนี้ ไม่ใช่ยุคของท่านพระสารีบุตร แม้ท่านอาจารย์จะกล่าวมากมาย ธาตุรู้ ที่ท่านอาจารย์กล่าวมาก แต่ว่า เราใส่ใจในคำที่ได้ยินได้ฟังแค่ไหน? เพราะฉะนั้น สำคัญที่ธาตุรู้ที่จะประกอบด้วยความสนใจใส่ใจในคำที่ฟังแม้กระทั่งความเข้าใจเรื่องธาตุรู้ ขณะนั้นก็ต้องมีธาตุรู้ที่ใส่ใจด้วยดีที่จะเข้าใจเรื่องของธาตุรู้เพิ่มขึ้นๆ ๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากครับเพราะว่าสะสมปัญญามาน้อย สะสมปัญญามาน้อยก็เป็นอย่างนี้ครับ
ท่านอาจารย์: ก็เป็นอย่างนี้ จนกว่าจะพิจารณาคำของท่านพระสารีบุตร เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะได้เข้าใจธรรมะ ทุกคำมีประโยชน์ไหม? ถ้าเผิน ไม่สนใจเลย อุปติสสะสะสมมาพูดอย่างนี้ แต่ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ!! จะได้เป็นถึงพระอัครสาวก จึงพูดอย่างนี้ว่า หน้าที่ของผู้พูดเป็นอย่างหนึ่ง หน้าที่ของผู้ฟังคือได้รู้ว่าความลึกซึ้งของแต่ละคำความหมายของแต่ละคำที่ได้ฟัง มากน้อยประการใดอยู่ที่ผู้ฟังที่จะไตร่ตรอง เห็นไหม เริ่มรู้จักหน้าที่แล้วในการฟัง ไม่ว่าจะฟังคำอะไร ฟังเพื่ออะไร ต้องละเอียดอย่างไร ไม่ใช่อาศัยคนอื่นมาชี้มาบอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ได้ฟังแล้วจะได้รู้ว่าแต่ละคำนั้นหน้าที่ของผู้พูด แต่ว่าหน้าที่ของผู้ฟังที่จะได้พิจารณาไตร่ตรองจนเข้าใจความลึกซึ้ง
อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์เกื้อกูลเช่นนี้ วันนี้ผมได้ฟังเรื่องที่ท่านอุปติสสะกับท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวจะมากจะน้อยขอให้ท่านพระอัสสชิกล่าวเถิด ส่วนการฟังเป็นหน้าที่ของท่าน นั่นแหละ!! ที่ท่านกล่าวอย่างนี้ผมซาบซี้งว่า ๑ อสงไขยแสนกัปป์ทำให้ท่านพร้อมแล้วที่จะทำหน้าที่ของผู้ฟังด้วยดีด้วยละเอียด จนกระทั่งอาศัยคำของท่านอัสสชิซึ่งก็เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจในความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังปรากฏ จนท่านเป็นพระโสดาบัน
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเครื่องเตือนใจแม้จะห่างไกลกับพวกเรา พวกเราฟังมีหน้าที่ของผู้ฟังกันแค่ไหน หรือเราจะมาสนทนา แล้วเราก็ถามอยากให้คนโน้นพูดอันนี้ ท่านอาจารย์กล่าว คณะอาจารย์กล่าว แล้วก็ฟังๆ แล้วก็เท่านั้นครับ แต่ทำหน้าที่ที่จะฟังแล้วก็เข้าใจในความละเอียดลึกซึ้งของแต่ละคำที่ฟัง เ ป็นหน้าที่ของผู้ฟัง
กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ คราวนี้ได้ประโยชน์ หน้าที่ของผู้ฟัง แต่ก็อีกครับ ท่านอาจารย์ก็อาจจะ เอ๊ะ! ผมพูดตื๊ออยู่นั่น ไม่ใช่ตื๊อครับท่านอาจารย์ คือเราสะสมปัญญามาน้อยที่จะไม่สามารถที่จะมีหน้าที่ของผู้ฟังได้มากมาย ก็มีบ้างเมื่อท่านอาจารย์เตือนก็ละเอียดขึ้นนิดหนึ่ง ก็เป็นผู้ฟังที่ละเอียดขึ้นอีกนิดหนึ่งๆ แต่ความลึกซึ้งของพระธรรมนั้นลึกซึ้งมากเกินกว่าความละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่มขึ้นครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับถึงได้อยู่อย่างนี้ครับ
ท่านอาจารย์: นี่ไงค่ะ หน้าที่ของผู้ฟังทุกคำ ไม่ใช่ไปเอาปัญญาของคนอื่นมาเป็นของเรา
อ.อรรณพ: ซาบซึ้งครับที่จะค่อยๆ เห็นประโยชน์ของหน้าที่ของผู้ฟังที่จะละเอียดใส่ใจในแต่ละคำ กราบเท้าครับทั้งๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารวมทั้งพระอริยสาวกทั้งหลาย ก่อนที่ท่านจะแสดงธรรมะกับใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเสมอว่า เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจะกล่าว ก็เหมือนกับเตือนให้ผู้ฟังพร้อมที่จะทำหน้าที่ของผู้ฟัง พร้อมแล้วยังที่จะทำหน้าที่ของผู้ฟัง คือมีจิตซึ่งประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยฉันทะ ประกอบด้วยความใส่ใจด้วยดี ที่จะรองรับพระธรรมด้วยดีเมื่อได้ฟัง
เพราะฉะนั้น หน้าที่ของผู้กล่าว และก่อนที่จะกล่าวถึงธรรมะ ก็ยังกล่าวเตือนให้ผู้ฟังรู้หน้าที่ของผู้ฟัง ยิ่งเห็นถึงความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรม ถ้าไม่ใส่ใจ ความใส่ใจไม่ละเอียด ความสนใจไม่ละเอียด การพิจารณาไตร่ตรองไม่ละเอียด แล้วจะไปเข้าใจในสิ่งที่ละเอียดได้อย่างไร แต่ก็เป็นไปได้อย่างนี้ครับท่านอาจารย์ที่จะทำหน้าที่ฟังได้อย่างดีจริงๆ ก็ต้องเป็นผู้ที่สะสมมามากจนกระทั่งสามารถที่จะฟังแล้วรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วปัญญาก็เจริญขึ้นโดนลำดับจนประจักษ์แจ้ง ก็ไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้ง่ายเลยครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วไม่ลืมว่า ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ฟัง ใครจะพูดอย่างไรก็ตามแต่ หน้าที่ของผู้ฟัง ฟัง พิจารณาไตร่ตรองนัยยะปราการใดต่างๆ ตามความเป็นจริง
อ.อรรณพ: หน้าที่ของผู้ฟัง ครับ ก็ขอเป็นโอกาสของตณะอาจารย์ท่านอื่นๆ ได้กราบสนทนากับท่านอาจารย์ ยิ่งเป็นประเด็นนี้ก็ยิ่งดีครับ แต่ก็เป็นประเด็นไหนก็ได้แล้วแต่ท่านครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อท่านผู้อื่นกล่าว คุณอรรณพจะได้ทำหน้าที่ของผู้ฟัง และท่านอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ของผู้ฟัง ฟังสิ่งที่คนอื่นกล่าว จะมากจะน้อยประการใดก็ตาม แต่พิจารณาไตร่ตรองเห็นความลึกซึ้ง และความจริงของสิ่งนั้น
อ.อรรณพ: กราบที่สุดครับที่ท่านอาจารย์ที่ท่านอาจารย์กล่าวตามเพิ่มเติมต่อ ให้ใกล้ชิดเข้าไปอีกครับ ยินดีครับที่จะทำหน้าที่ของผู้ฟัง เชิญ อ.คำปั่นครับ
ท่านอาจารย์: ตอนนี้หน้าที่ของผู้พูดแล้วนะ จะพูดประการใดสนทนาธรรม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


