น้ำหนึ่งใจเดียวกัน

แม้แต่คำว่า “ น้ำหนึ่งใจเดียวกัน ” ซึ่งเป็นข้อความในพระไตรปิฎก ก็น่าที่จะพิจารณาว่า หมายความถึงขณะไหน สำหรับผู้ที่ฟังพระธรรม แล้วก็น้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อที่จะขจัดกิเลส ขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางเดียวกัน คือ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั่นเป็นผู้ที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะว่ามีจุดประสงค์อันเดียวกัน ฟังพระธรรมเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แต่ถ้าเป็นอกุศล ไม่ใช่น้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะเหตุว่านำไปสู่คติต่างๆ ซึ่งไม่นำไปสู่พระนิพพาน
เพราะฉะนั้น แต่ละท่านซึ่งฟังพระธรรม ก็พอจะพิจารณาขึ้นมาอีกว่า จิตใจของท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือยัง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่น้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะถึงไหมพระนิพพาน เพราะว่ายังมีกิเลสอยู่ แล้วก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่ขัดเกลาด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียด แล้วก็พิจารณาธรรมแม้เพียงข้อธรรมบางประการ ซึ่งอาจจะคิดว่าเล็กน้อย แต่แม้ข้อธรรมเพียงคำว่า “เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” ก็ทำให้ระลึกได้ว่า ในขณะนี้ท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับใครบ้าง หรือว่าสำหรับบางบุคคลยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวไม่ได้ ถ้ายังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวไม่ได้ เป็นความผิดของใคร
ถ้ายังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวไม่ได้ เป็นความผิดของใคร เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาจริงๆ ถึงจะได้ประโยชน์ เป็นความผิดของคนอื่น หรือว่าเป็นความผิดของท่านเอง เพราะในขณะที่กำลังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับคนอื่น ขณะนั้นจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เป็นแต่เพียงจิตซึ่งคิด คิดถึงคนอื่น ซึ่งความจริงคนอื่นก็ไม่มี ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่สภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ในความทรงจำเรื่องสัตว์ เรื่องบุคคล ทำให้ความรู้สึกในขณะนั้น ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับบางบุคคล
ถ้าระลึกได้อย่างนี้ เห็นกิเลสของตนเอง รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล และก็รู้ด้วยว่าอกุศลทั้งหลายที่เกิดขึ้นเพราะคิด คิดเอง คนอื่นอาจจะไม่ได้มุ่งหมายหรือว่าตั้งใจอย่างนั้นเลย แต่ว่าความคิดของท่านเองทำให้เกิดอกุศล แล้วก็ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับคนอื่น เพราะฉะนั้น สาเหตุทั้งหมดก็อยู่ที่อกุศลของตนเอง ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ชีวิตประจำวันในวันหนึ่งๆ ก็เป็นอกุศลที่ผ่านไปโดยที่ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า แม้ในขณะนั้นก็เป็นอหิริกะและอโนตตัปปะ คือ ไม่ละอาย ไม่รังเกียจที่จะไม่รู้ลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏกับตนตามความเป็นจริง


