ประพฤติตามคำที่ได้ฟัง

[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม 1 ภาค 1 - หน้า 332 -333
ความหมายของคําว่า ปัญญินทรีย์
ปชานาตีติ ปฺา ธรรมที่ชื่อว่า ปัญญา เพราะอรรถว่าย่อมรู้ทั่ว. ถามว่า ย่อมรู้ทั่วซึ่งอะไร? ตอบว่า ย่อมรู้ทั่วซึ่งอริยสัจทั้งหลายโดยนัยมีคําว่า นี้ทุกข์ เป็นต้น แต่ในอรรถกถาท่านกล่าวว่า ชื่อว่า ปัญญา เพราะอรรถว่า ย่อมให้รู้ ถามว่า ย่อมให้รู้อะไร? ตอบว่า ย่อมให้รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา.
อ.ณภัทร: ความลึกซึ้ง ครับ ได้ฟังลึกซึ้งของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมจะกล่าวถึงว่า ปัญญาเป็นสภาพที่เข้าใจถูก และปัญญาทำกิจของปัญญา แค่ประโยคนี้ครับ ปัญญาทำกิจของปัญญา พิจารณาไตร่ตรองแล้วก็มีความลึกซึ้งมาก เพราะว่าชีวิตประจำวันอย่างเมื่อวานได้สนทนา อย่างเช่น ความอดทน อดทนที่จะไม่เป็นอกุศล อดทนที่จะไม่คล้อยไปกับความยินดีพอใจ อดทนที่จะไม่คล้อยไปกับความไม่น่ายินดีพอใจ เป็นต้น ก็ต้องอาศัยปัญญาเพราะว่าถ้าไม่มีปัญญาก็คล้อยไปกับความน่าพอใจบ้าง ความไม่น่าพอใจบ้าง
เพราะฉะนั้น ความละเอียดลึกซึ้งของกิจของปัญญา ที่ไม่ใช่ตัวเรา ที่เราจะไปพอใจ หรือไม่พอใจจะมีความละเอียดอย่างไรครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์: รู้เองได้ไหม?
อ.ณภัทร: ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งไหม?
อ.ณภัทร: ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งครับ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
อ.ณภัทร: ต้องพิจารณาว่า เพราะเราไม่มีปัญญาเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงที่เราไม่สามารถจะรู้เองได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะไม่ใช่เราเลย แต่ความจริงเป็นความจริงทุกขณะที่กำลังปรากฏ นี่ก็จริง แต่ไม่สามารถจะรู้ได้ จึงลึกซึ้ง
อ.ณภัทร: แม้ฟังบ่อยๆ ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป เป็นต้นครับ ก็ยังไม่พอที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เราจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: ฟังมานานเท่าไหร่แล้ว?
อ.ณภัทร: แค่ชาตินี้ แต่ชาติอื่นก็ไม่ทราบว่าฟังมากน้อยแค่ไหนครับ
ท่านอาจารย์: แล้วไม่รู้มานานเท่าไหร่?
อ.ณภัทร: นานแสนนานครับ
ท่านอาจารย์: ไม่รู้อะไร?
อ.ณภัทร: ไม่รู้มากเลยครับ ความจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ทุกๆ อย่าง
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ทุกคำ มากทุกอย่าง แม้สิ่งที่มีจริงก็ไม่รู้ อย่าลืม!! จนกว่าจะรู้
อ.ณภัทร: ดังนั้น ชีวิตประจำวันที่เมื่อศึกษาธรรมะแล้ว ก็พอที่จะเริ่มที่จะเข้าใจว่า สภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น เป็นจิต เจตสิก เป็นรูป ไม่มีเรา แต่ในชีวิตประจำวันจริงๆ ความโกรธเกิดขึ้น ความขุ่นเคืองเกิดขึ้นก็คล้อยไปเป็นไปกับความโกรธอย่างนั้นครับ ปัญญาไม่สามารถจะทำกิจของปัญญาได้เลยครับ
ท่านอาจารย์: แล้วขณะนั้นเป็นสัจจบารมีหรือเปล่า?
อ.ณภัทร: ความจริงคือเป็นอย่างนั้นครับ
ท่านอาจารย์: แต่ไม่เป็นเพราะไม่มั่นคง เมื่อมีปัญญาเพิ่มขึ้นมั่นคงขึ้น ไม่เปลี่ยนเลยว่า ลึกซึ้งขณะนั้นด้วยจึงจะเป็นสัจจบารมี ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์บุคคล ไม่มีอะไรถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ดับไปเลย นี่จริงไหม?
อ.ณภัทร: จริงที่สุดครับ
ท่านอาจารย์: ค่อยๆ มั่นคง ค่อยๆ ฟัง ขณะที่กำลังฟัง ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญาตลอดไม่มีเราเลย จะน้อยจะมากก็แล้วแต่ปัญญาที่จะทำหน้าที่ได้แค่ไหน
เพราะฉะนั้น เป็นการที่ยิ่งฟังก็ต้องรู้ว่า แม้ปัญญาความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา ทุกอย่างต้องไปสู่สิ่งที่มีชั่วขณะ ชั่วขณะที่แสนสั้น นี่คือความจริงที่เป็นจริงที่สุด ไม่มีอะไรจะจริงอย่างนี้ ไม่มีอะไร เพราะอะไร? มีแล้ว ไม่มี หมดแล้ว แล้วจะมีเราได้อย่างไร ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่าง
ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องไปเดือดร้อน ไม่ต้องไปร้องไห้ ไม่ต้องไปกังวล เพราะเหตุว่า แต่ละหนึ่งเป็นธรรมะ ถ้ายังอยากยังต้องการก็ไปทำกันวุ่นวายด้วยความไม่รู้และด้วยความต้องการ
เพราะฉะนั้น จึงต้องฟัง ว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจากการที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่จึงได้รู้ และเมื่อตรัสรู้แล้ว ตรัสว่า ธรรมะละเอียดลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ แต่รู้ได้ ด้วยความอดทนด้วยบารมีด้วยปัญญา
แล้วเราจะรีบไปไหน? แค่ชาตินี้ได้ฟังชาติไหนได้ฟังอีก และชาติก่อนได้ฟังหรือเปล่า ชาติหน้าจะได้ฟังไหม กี่คำ?
เพราะฉะนั้น โอกาสที่ดีที่สุด ประพฤติตามคำที่ได้ฟัง มิเช่นนั้นแล้วก็อีกนานมากกว่าจะสามารถคล้อยตามเป็นไปตามที่พระองค์ได้ทรงแสดง ยาวนานต่อไปอีก อีกกี่กัปป์?
อ.ณภัทร: ประมาณไม่ได้เลยครับ
ท่านอาจารย์: นี่ล่ะ ตัวปัญญาที่ละความเป็นเราทีละน้อยมาก นี่เป็นสัจจบารมี เป็นขันติบารมี เป็นปัญญาบารมี
ถ้าไม่มีความมั่นคงอย่างนี้ ขวนขวายแล้ว สงสัยแล้ว อยากจะเป็นนั่นเป็นนี่แล้ว แล้วก็ผิด!! เพราะว่า ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระปัญญา ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ ลึกซึ้งทุกคำ ทุกคำ!! การเข้าใจนั้นเองปัญญาทำหน้าที่ละ ไม่ต้องทำอะไรเลย
เพราะฉะนั้น ปัญญามากไหมล่ะ? มีนิดเดียว แล้วจะไปละอะไร เท่าไหร่? ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเท่านั้น
อ.ณภัทร: จะเห็นว่า ยิ่งฟังยิ่งพิจารณา ก็ยิ่งเห็นถึงความลึกซึ้งๆ ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ ครับ ยากจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: มหาสมุทรลึกซึ้งไหม?
อ.ณภัทร: เกินที่จะหยั่งถึง ลึกซึ้งมากครับ
ท่านอาจารย์: แล้วหางกระต่ายจุ่มลงไปได้นิดเดียว
อ.ณภัทร: ประมาณไม่ได้จริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: นี่แหละ กำลังละความต้องการ กำลังละความเข้าใจผิด คิดว่าสามารถจะรู้ได้ ถามโน่น ถามนี่ ถามนั่น เพื่อจะรู้ แต่ไม่ใช่ค่ะ!! เพื่อละความเห็นผิดว่าจะรู้ได้เพียงขั้นฟัง
อ.ณภัทร: ก็ละเอียดจริงๆ ถ้าถามด้วยความต้องการ แล้วคนนั้นไม่รู้ว่าถามด้วยความต้องการหรือถามด้วยความเข้าใจ นี่ก็เป็นสิ่งที่ละเอยดครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เริ่มรู้แล้วใช่ไหมว่า ความเข้าใจตรงนี้ค่ะ
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: และถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ไม่ละแน่นอน
อ.ณภัทร: ผมก็ประทับใจประโยคที่ท่านอาจารย์เตือนครับว่า จะรีบไปไหน ประโยคนี้เป็นประโยคที่เป็นประโยชน์จริงๆ เพราะว่าถ้ารีบ ก็คือความอยากความต้องการที่อยากรู้โน่นรู้นี่ แล้วอยากที่จะรู้มากๆ ถึงไวๆ เป็นต้นครับ
ท่านอาจารย์: รีบที่จะไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ รีบไปที่อื่น แล้วจะรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร?
อ.ณภัทร: ครับ นี่จึงเป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งครับ ไม่ต้องรีบ เพราะว่ารีบไปก็ไม่เข้าใจอะไรเลยครับ
ท่านอาจารย์: มีทางเดียว เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมะ ลึกซึ้งขึ้นๆ ลึกซึ้งขึ้นอีกๆ ลาดลงไปในทะเล
อ.ณภัทร: ที่ท่านอาจารย์ถามอยู่บ่อยๆ ว่ามั่นคงหรือยัง? ตอนนี้ก็แค่มั่นคงในขั้นของเริ่มที่จะค่อยๆ ฟังเพื่อที่จะรู้ความจริงว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงคืออย่างนี้ แล้วความมั่นคงก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นก็ตามลำดับที่จะรู้ตรงลักษณะของสิ่งที่ได้ฟังว่า เป็นรูป เป็นนาม รูปเป็นอย่างนี้ นามเป็นอย่างนี้ ค่อยๆ รู้ตรงลักษณะขึ้นก็จะค่อยๆ มั่นคงขึ้น
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ปัญญาบารมีทำให้มีขันติบารมี วิริยบารมี หนทางเดียว ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น ถ้ามีเราจะทำก็ผิด
อ.ณภัทร: จริงๆ ชีวิตประจำวันก็เผชิญกับสภาพธรรมะหลากหลายมากมาย อยู่ที่ว่า ปัญญาสำคัญที่สุด เพราะว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจก็เป็นไปกับอกุศลทั้งหมดเลยครับ ยากที่จะเป็นกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้กุศลเกิดขึ้นได้เลยครับ
ท่านอาจารย์: ก็อยู่ไปไม่รู้ไปเพิ่มความไม่รู้ยิ่งขึ้น ถ้าไม่ได้เข้าใจหนทางที่ละ ละเอียดมาก
อ.วิชัย: ยิ่งฟังยิ่งพิจารณายิ่งค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งของพระธรรมครับท่านอาจารย์ครับ ที่ทรงอุปมาเหมือนกับว่ามหาสมุทรอันจงอยปากยุงหยั่งไม่ถึงครับ ก็ลึกซึ้งจริงๆ ทั้งๆ ที่มีอยู่ เผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ครับ แต่ที่ท่าานอาจารย์กล่าวถึง มีหนทางไหม ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ก็ยังมีความเบาใจหน่อยว่ามีหนทาง ไม่ใช่ไม่มีหนทาง ถึงแม้หนทางนั้นจะยาวไกลสักแค่ไหนครับท่านอาจารย์ครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่..
ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่ภิกษุ
ขอเชิญฟังได้ที่..
เข้าใจว่าง่าย แต่ประพฤติตามไม่ง่าย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ



