[คำที่ ๗๒๔] โอหิตโสต
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “โอหิตโสต”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
โอหิตโสต อ่านตามภาษาบาลีว่า โอ - หิ - ตะ - โส - ตะ มาจากคำว่า โอหิต (ตั้งลง) กับคำว่า โสต (หู) รวมกันเป็น โอหิตโสต แปลว่า เงี่ยหูฟัง, ตั้งโสตะลงสดับ ในที่นี้จะขอนำเสนอในความมุ่งหมายที่หมายถึงผู้ที่ตั้งใจฟังพระธรรม เป็นผู้ที่เงี่ยโสตลงด้วยดีเพื่อฟังพระธรรม
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่ควรฟัง เมื่อได้ฟังแล้ว ความเข้าใจถูกเห็นถูกย่อมเกิดขึ้น ย่อมเจริญขึ้น ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเกิดขึ้นได้เลย ในฐานะของผู้ที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องได้ฟังคำของพระองค์และมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน ปฐมนิพพานสูตร แสดงความเป็นจริงของคำว่า โอหิตโสต ดังนี้
“บทว่า โอหิตโสตา ได้แก่ เงี่ยโสตะ (หู) ลงสดับ คือ ตั้งโสตะ (หู) ไว้ด้วยดี. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า โอหิตโสตา ได้แก่ มีโสตประสาทอันอะไรๆ ไม่รบกวน. จริงอยู่ บุคคลแม้เมื่อได้โสตประสาทที่ไม่มีอะไรรบกวนนั้นนั่นแล จึงไม่ฟุ้งซ่านไปในการฟัง”
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง ซึ่งมีเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้ยินได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อันเกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ที่ใครๆ ก็ไม่สามารถคัดค้านหรือเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ละคำที่พระองค์ตรัสไม่ว่าจะปรากฏในส่วนใดของพระธรรมคำสอน ก็เป็นไปเพื่อปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ความเข้าใจพระธรรมนี้เองเป็นประโยชน์ที่สุดเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล เก็บรักษาอย่างดีในจิต สะสมเป็นที่พึ่งทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆ ไปอีกด้วย
การทรงแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกก็เพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลกให้เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์เหมือนกันทั้งหมด บุคคลผู้ที่สนใจใคร่ที่จะฟังพระธรรม ก็มีเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น บุคคลผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ต้องเป็นผู้เคยเห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว เป็นผู้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว จึงตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษา ใส่ใจด้วยดี พิจารณาไตร่ตรองด้วยความละเอียด ไม่ประมาทในพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ สิ่งที่พระองค์ทรงแสดง ไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ย่อมเจริญขึ้นไปตามลำดับ ไม่ใช่ว่าปัญญาจะเจริญขึ้นสมบูรณ์เต็มที่ด้วยการฟังพระธรรมเพียงครั้งเดียว หรือ สองครั้งเท่านั้น จึงต้องอาศัยการฟังบ่อยๆ เนืองๆ พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผลในคำที่ได้ยินได้ฟัง เพราะจุดประสงค์ของการฟังพระธรรม คือ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะที่ตนเองได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นนั้น เป็นช่วงเวลาที่ประเสริฐของชีวิต เพราะเหตุว่าในวันหนึ่งๆ ส่วนมากจะเป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่นำคุณประโยชน์อะไรมาให้เลย แต่บางครั้งบางเวลาก็มีเหตุปัจจัยทำให้เป็นผู้ที่มีความสนใจที่จะสละเวลาจากที่เป็นอกุศล มาเพื่อฟังพระธรรม ซึ่งยากที่จะได้ฟังและยากที่จะเข้าใจ และผู้นั้นก็ต้องได้เป็นผู้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง มีศรัทธาที่จะฟัง จึงได้ฟัง จากการฟังในแต่ละครั้ง ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ประเสริฐจริงๆ
ข้อที่น่าพิจารณา คือความดีมีหลายอย่าง เช่น ทานการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ก็เป็นความดีอย่างหนึ่ง กายวาจาที่ไม่เบียดเบียนใครแล้วยังช่วยเหลือคนอื่นทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ก็เป็นความดี อย่างหนึ่ง แต่ความดีเพียงฟังพระธรรม ทำได้ไหม ไม่ต้องเสียวัตถุใดๆ เลยทั้งสิ้น กายวาจาก็ไม่ต้องไปทำอะไรให้คนอื่น ด้วยความเหนื่อยยากของเรา เพราะว่าบางทีการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นก็ทำให้เราไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ก็ทำเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น แต่ว่าเพียงแค่ฟังพระธรรม ทำไม่ได้หรือ? ลำบากนักหรือกับการที่จะฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น ที่ไม่ฟังเพราะอะไร? เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าการฟังพระธรรมทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และบางคนก็ยังสงสัยต่อไปว่า ความรู้ความเข้าใจจะมีประโยชน์อะไร? นี่ก็แสดงให้เห็นว่า อวิชชาความไม่รู้ปิดบังไว้หนาแน่นมากมายสักแค่ไหน เพียงแค่รู้กับไม่รู้ ก็ไม่เห็นความต่างกันว่า อะไรมีประโยชน์ ไม่ได้ให้ทำอะไรเลย เพียงฟังให้เข้าใจ ฟังทันทีที่จะฟังได้ นั่นคือ ความดีที่ดีกว่าอย่างอื่น เพราะว่าประกอบด้วยปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก
จะเห็นได้จริงๆ ว่า คนเราเกิดมา ชีวิตแสนสั้น ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน ที่ไหน ด้วยอาการอย่างไร แต่มั่นใจได้เลยว่าต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ก่อนจากโลกนี้ไป เป็นคนดีหรือเปล่า และสามารถที่จะดีกว่านี้ได้ เพราะเหตุว่า เป็นมนุษย์มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม ได้คิดได้ไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าจะจากโลกนี้ไป สมกับการที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็คือได้มีความเข้าใจถูกซึ่งสามารถที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำจริงที่ทำให้เข้าใจต่อไป ถ้ามีความคิดว่า ฟังเรื่องอื่นยังฟังได้ แต่ทำไม ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะฟังไม่ได้หรือไม่ควรฟัง? คนนั้นก็เริ่มรู้จักคุณค่าของชีวิตซึ่งจะต้องจากโลกนี้ไปว่าอย่างน้อยก็จากไปโดยการที่ได้รู้ความจริง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นที่พึ่งต่อไปจนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาในที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงต้องฟังพระธรรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ฟังบ่อยๆ เนืองๆ เงี่ยโสตะลงสดับ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ขณะที่ฟังพระธรรมเข้าใจ เป็นความดีที่ประเสริฐ เป็นการค่อยๆ ชำระจิตให้สะอาดปราศจากความไม่รู้ที่สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ เป็นปัญญาที่สำเร็จจากการได้ฟังสิ่งที่ควรค่าแก่การฟังเป็นอย่างยิ่ง คือ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง
ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..
