[คำที่ ๗๒๖] สุตวา

 
Sudhipong.U
วันที่  17 ก.ค. 2568
หมายเลข  50422
อ่าน  282

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ สุตวา

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

สุตวา อ่านตามภาษาบาลีว่า สุ - ตะ - วา แปลว่า ผู้ได้สดับ ในที่นี้หมายความว่า ผู้ได้สดับพระธรรม คือ ผู้ได้ฟังพระธรรม แสดงถึงความเป็นไปของบุคคลผู้เห็นประโยชน์เห็นคุณค่าของการมีโอกาสได้ฟังสิ่งที่มีค่าที่สุด คือพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ละคำที่ได้ฟัง ล้วนเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด

ข้อความในมโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ได้อธิบายความหมายของคำว่า สุตวา ไว้ดังนี้

ในสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ บทว่า สุตวา ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยการศึกษา. ก็ในบทว่า สุตวา นี้ เมื่อว่าโดยพิสดาร (โดยละเอียด) พึงทราบความโดยตรงกันข้ามกับบทว่า อสฺสุตวา (ผู้ไม่ได้สดับ) ”

เพราะมีรากฐานที่มั่นคงจากการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมนำไปสู่การละอกุศล และทำให้กุศลเจริญไพบูลย์ได้ ตามข้อความในปปัญจสูทนี อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ มหาสุญญตสูตร ดังนี้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว จากพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์ ดังนี้


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องที่ยาก ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แสดงให้เข้าใจธรรม (สิ่งที่มีจริง) ในขณะนี้ตรงตามความเป็นจริง เพราะถ้าพระธรรมง่าย ก็คงไม่ต้องอาศัยพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าใครๆ ก็ย่อมสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้เอง แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ธรรม แม้มีจริง กำลังมีในขณะนี้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่าเป็นเรามาโดยตลอด เพราะไม่รู้ความจริง ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เป็นต้น ตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นเราทั้งนั้น มองหาธรรมไม่เจอว่าธรรมอยู่ที่ไหน ต่อเมื่อใดที่ได้เริ่มฟังพระธรรมแล้ว สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ก็ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหนเลย เพราะว่าไม่มีวันพ้นจากธรรมเลย มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ทุกขณะ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่าเป็นธรรม จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ต้องเป็นธรรมที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของธรรมนั้นๆ ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น

ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ย่อมเจริญขึ้นไปตามลำดับ ไม่ใช่ว่าปัญญาจะเจริญขึ้นสมบูรณ์เต็มที่ด้วยการฟังพระธรรมเพียงครั้งเดียว หรือ สองครั้งเท่านั้น จึงต้องอาศัยการฟังบ่อยๆ เนืองๆ พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผลในคำที่ได้ยินได้ฟัง เพราะจุดประสงค์ของการฟังพระธรรม คือ เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ขณะที่ตนเองได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นนั้น เป็นช่วงเวลาที่ประเสริฐของชีวิต เพราะเหตุว่าในวันหนึ่งๆ ส่วนมากจะเป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่นำคุณประโยชน์อะไรมาให้เลย แต่บางครั้งบางเวลาก็มีเหตุปัจจัยทำให้เป็นผู้ที่มีความสนใจที่จะสละเวลาจากที่เป็นอกุศล มาเพื่อฟังพระธรรม ซึ่งยากที่จะได้ฟังและยากที่จะเข้าใจ และผู้นั้นก็ต้องได้เป็นผู้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง มีศรัทธาที่จะฟัง จึงได้ฟัง จากการฟังในแต่ละครั้ง ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ประเสริฐจริงๆ

ข้อที่น่าพิจารณา คือความดีมีหลายอย่าง เช่น ทาน การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ก็เป็นความดีอย่างหนึ่ง กายวาจาที่ไม่เบียดเบียนใครแล้วยังช่วยเหลือคนอื่นทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ก็เป็นความดี อย่างหนึ่ง แต่ความดีเพียงฟังพระธรรม ทำได้ไหม ไม่ต้องเสียสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น กายวาจาก็ไม่ต้องทำอะไรให้คนอื่นให้ตนเหนื่อยยาก เพราะว่าบางทีการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นก็ก็ต้องออกแรง แต่ว่าเพียงแค่ฟังพระธรรม ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องลำบาก ทำไม่ได้หรือ? เพราะฉะนั้น ที่ไม่ฟังเพราะอะไร? เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าการฟังพระธรรมทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง บางคนก็ยังสงสัยต่อไปว่า ความรู้ความเข้าใจจะมีประโยชน์อะไร? นี่ก็แสดงให้เห็นว่า อวิชชา (ความไม่รู้) ปิดบังไว้หนาแน่นมากมายสักแค่ไหน เพียงแค่รู้กับไม่รู้ ก็ไม่เห็นความต่างกันว่าอะไรมีประโยชน์ ไม่ได้ให้ทำอะไรเลย เพียงฟังให้เข้าใจ ฟังทันทีที่จะฟังได้ นั่นคือ ความดีที่ดีกว่าอย่างอื่น เพราะว่าประกอบด้วยปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก พระอริยสาวกทั้งหลาย ที่ท่านได้ประจักษ์แจ้งความจริงดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ ล้วนเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมด้วยกันทั้งหมด

การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น จนถึงการประจักษ์แจ้งความจริง ดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ ถ้าจะพิจารณาจริงๆ แล้ว การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ ทั้ง ๓ ประการนี้ ที่จะพร้อม กันเข้าได้ หาได้ยากในโลก นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกท่านที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยขณะเหล่านี้ ก็ขอขณะเหล่านี้อย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะเหตุว่าขณะนี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พร้อมทั้งได้เกิดในถิ่นที่ยังมีพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดำรงอยู่ และในขณะเดียวกัน ก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่บกพร่อง พร้อมที่จะรองรับพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกได้ ก็ควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาสะสมเป็นที่พึ่งต่อไป ไม่ประมาทในชีวิตที่สั้นแสนสั้นนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตซึ่งจะติดตามไปได้ คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เพราะว่า ตั้งแต่เกิดมาอาจจะมีทรัพย์สมบัติ มีรูปสมบัติ มียศ มีบริวาร มีทุกอย่าง แต่ปัญญามีหรือไม่ เพราะทรัพย์สมบัติต่างๆ เหล่านั้นติดตามไปในภพหน้าไม่ได้ แต่ปัญญาที่มาจากการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะสะสมสืบต่อในจิตที่จะทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมแล้วเกิดความเห็นถูกขึ้นต่อไปอีก สะสมสิ่งที่มีค่าต่อไปอีก นำมาซึ่งประโยชน์สุขเท่านั้น ไม่มีโทษใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี 1 คำ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ