[คำที่ ๗๒๓] กิเลสโจร
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “กิเลสโจร ”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
กิเลสโจร อ่านตามภาษาบาลีว่า กิ - เล - สะ - โจ - ระ มาจากคำว่า กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต, กิเลส) กับคำว่า โจร (ผู้ร้าย, โจร) รวมกันเป็น กิเลสโจร แปลว่า โจรคือกิเลส
กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต มี โลภะ หรือราคะ ความติดข้องยินดีพอใจ โทสะ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ โมหะ ความหลง ความไม่รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เป็นต้น เป็นโจร คือ เป็นสภาพที่ทำร้าย เบียดเบียน ทำร้ายทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไปด้วย จะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นจึงจะชนะโจรคือกิเลสได้ ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เรื่องพระกุณฑลเกสีเถรี ดังนี้
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่านับธรรมที่เราแสดงแล้วว่าน้อยหรือมาก บทที่ไม่เป็นประโยชน์แม้ ๑๐๐ บท ไม่ประเสริฐ ส่วนบทแห่งธรรมแม้บทเดียวประเสริฐกว่าเทียว อนึ่ง เมื่อบุคคลชนะโจรที่เหลือ หาชื่อว่าชนะไม่ ส่วนบุคคลชนะโจรคือกิเลส อันเป็นไปภายในนั่นแหละ จึงชื่อว่าชนะ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียดโดยประการทั้งปวง รวมถึงเรื่องของกุศลธรรมและอกุศลธรรม พระองค์ก็ทรงแสดงไว้อย่างมากมาย ทั้งหมดนั้นก็เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศล ตามความเป็นจริง และเห็นคุณของการอบรมเจริญกุศลทุกประการ ที่จะทำให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึ้น เพราะขณะที่มีค่า ก็คือขณะที่กุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นไปกับการอบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมในขณะนี้ ตามความเป็นจริง ในทางตรงกันข้าม ขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไปนั้นไม่มีค่าเลย มีแต่โทษโดยส่วนเดียว เปรียบเหมือนกับโจรที่คอยดักปล้นกุศล ปล้นสิ่งที่มีค่า เพราะเหตุว่าเวลาที่อกุศล มีโลภะ เป็นต้น เกิดขึ้นนั้น ก็จะไม่เจริญกุศลประการใดๆ ไม่ฟังพระธรรม เป็นต้นเลย เวลานั้นมีเครื่องกั้นไม่ให้กุศลจิตเกิด ไม่ยอมให้ไปสู่จุดหมายโดยราบรื่น อกุศลธรรมทั้งหลายเป็นเช่นนั้น คือเป็นโจรที่คอยดักปล้นกุศลเพราะในขณะที่อกุศลเกิด กุศลก็จะเกิดไม่ได้
ชีวิตประจำวันของปุถุชนผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าอกุศลจิต ย่อมเกิดขึ้นมากกว่ากุศลจิต ถ้ามีใครบอกว่าวันหนึ่งๆ กุศลจิตของเขาเกิดมากกว่าอกุศลจิต นั่นไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะจิตที่เป็นอกุศล มีหลายระดับตามกำลังของกิเลส ตั้งแต่ชนิดที่บางเบา จนกระทั่งมีกำลังกล้าถึงกับล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนได้
ตามความเป็นจริงแล้วกิเลสเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้ว เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม และเป็นสภาพธรรมที่นำมาซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งโทษโดยส่วนเดียวเท่านั้น ไม่นำมาซึ่งคุณประโยชน์ใดๆ เลย แม้แต่วันนี้วันเดียว กิเลสเป็นอันมากเกิดขึ้นกลุ้มรุมทำร้ายจิตใจของเราอยู่เกือบจะตลอดเวลา ขณะที่จิตเป็นอกุศล ด้วยอำนาจของโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เป็นต้น นั้น ข้าศึกภายในได้เกิดขึ้นทำร้ายจิตใจของตนเองแล้ว ทำร้ายยิ่งกว่าข้าศึกภายนอกเสียอีก เพราะเหตุว่า โจรภายนอก เบียดเบียนได้เพียงชาติเดียว แต่กิเลสซึ่งเป็นโจรภายในยังสะสมสืบต่อยู่ในจิตทุกๆ ขณะ ตามเผาผลาญได้ในทุกภพทุกชาติ ซึ่งถ้าพิจารณาให้ละเอียดแล้ว ที่มีการเบียดเบียนกัน ทำร้ายกันและกัน ก็เพราะยังมีโจรภายในคือกิเลสอยู่นั่นเอง
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง ที่สำคัญ คือ ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวันเลย ทุกขณะของชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด รวมถึงขณะที่กิเลสเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วย ซึ่งจะต้องศึกษาเพื่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรม
เมื่อกิเลสยังไม่ถูกดับ เวลาที่มีเหตุปัจจัยของกิเลสประเภทใด กิเลสประเภทนั้นๆ ก็เกิด โดยที่บุคคลนั้นไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้ว่า วันไหนกิเลสระดับใดจะเกิด เพราะเหตุว่าถ้ายังไม่มีปัจจัย กิเลสนั้นก็ยังไม่เกิด บุคคลผู้มีกิเลสแล้วรู้ว่าตัวเองมีกิเลส ย่อมเป็นบุคคลผู้ประเสริฐ เพราะจากการรู้อย่างนี้ย่อมเป็นเหตุทำให้บุคคลนั้น มีความเพียร มีความอดทน มีศรัทธาเห็นประโยชน์ที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองให้เบาบาง จนกระทั่งสามารถดับได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด ไม่มีกิเลสเกิดอีกเลย ซึ่งต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานเป็นอย่างยิ่งในการอบรมเจริญปัญญา เหมือนอย่างพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ซึ่งได้รับประโยชน์จากพระธรรม ทำลายโจรคือกิเลสได้ ก็ล้วนแล้วแต่ได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งนั้น
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด ทำให้ได้รู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่ายังมีกิเลสที่หนาแน่น ยังเต็มไปด้วยโจรคือกิเลสที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งและทำให้รู้ว่าตนเองยังต้องอบรมปัญญาต่อไปอีกยาวนานกว่าจะสามารถละกิเลสที่สะสมมาอย่างยาวนานได้ เพราะเราสะสมเพิ่มพูนกิเลสอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว โอกาสจะเจริญกุศลก็มีน้อยในชีวิตประจำวัน และกุศลที่ว่าน้อยนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา จะเห็นได้ว่าหากไม่ได้ศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดแล้ว ไม่มีหนทางใดที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้เลย เพราะฉะนั้นการที่จะทำลายโจรคือกิเลสนั้น ต้องอาศัยการเจริญขึ้นของกุศลธรรมทั้งหลาย มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เพราะถ้ามีปัญญาแล้ว กุศลธรรมประการต่างๆ ก็จะเจริญเพิ่มขึ้น ขณะที่กุศลธรรมเกิดขึ้นนั้น ก็เป็นเครื่องป้องกันอกุศลแล้ว เพราะขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้ จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าถึงถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อมสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น เมื่อนั้นจึงจะเป็นผู้ปลอดภัยจากโจร คือ กิเลสอย่างแท้จริง
ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

