จิตเจตสิกเกิดทำกิจการงานทุกครั้ง … ไม่ใช่เราทำ

การเข้าใจธรรมะก็จะทำให้ปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจทำให้ชีวิตของเราเป็นกุศลเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
ตราบใดที่ยังมีอกุศลหรือกิเลสอยู่ ก็จะต้องมีอกุศลจิต และอกุศลจิตที่มีกำลังก็จะทำอกุศลกรรม
ชีวิตของบางคนพลิกผันหน้ามือเป็นหลังมือจากสูงสุดจนถึงระดับต่ำสุด ถ้าไม่มีกรรมเป็นเหตุก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ที่เราเห็นว่าเป็นเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ แท้ที่จริงแล้วเหตุสำคัญที่สุดก็คือกรรมที่ได้กระทำแล้ว
สภาพของธรรมะที่เกิดต้องมีกิจการงาน จิตเจตสิกเกิดทำกิจการงานทุกครั้ง เราอาจจะคิดว่าเราทำ แต่ความจริงถ้าไม่มีจิตไม่มีเจตสิก จะไม่มีอะไรทำเลย
ทั้งหมดในวันนี้ที่ทุกคนทำมาแล้ว ... ใครทำ?! ก็จิตเจตสิกนั่นเองประเภทต่างๆ ด้วย เป็นประเภทเห็นก็ทำหน้าที่เห็น เป็นประเภทได้ยินก็ทำหน้าที่ได้ยิน เป็นประเภทคิดนึกก็ทำหน้าที่คิดนึก ก็แล้วแต่การสะสมของปฏิสนธิจิตที่สืบต่อมานานแสนนานว่า เมื่อเห็นแล้วแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน บางคนเห็นแล้วเป็นกุศล บางคนเห็นแล้วเป็นอกุศล เลือกไม่ได้อีกเพราะสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น
ถ้ามีความเข้าใจเรื่องธรรมะเป็นธรรมะจริงๆ ถ้าพูดถึงจิตใจเอารูปร่างออกหมดเลย ... เหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหน จิตที่โกรธเกิดขึ้นทำหน้าที่นั้นเลย ขุ่นเคืองหยาบกระด้างจะไปเปลี่ยนลักษณะของจิตนั้นให้อ่อนโยนมีเมตตาก็ไม่ได้ ก็เป็นเรื่องตามการสะสมของชาติหนึ่งซึ่งแล้วแต่ว่าปฏิสนธิจิตเป็นประเภทไหน ก็ทำให้ผลของกรรมที่จะตามมาในภายหลังมากน้อยต่างกันตามลำดับ
ทุกคนอยากจะได้ผลของกุศลกรรมอย่างเลิศ ... หวังเสมอ ... เป็นเพียงความหวัง แต่ความจริงก็คือว่าแล้วแต่กรรม
ถ้าศึกษาโดยละเอียดจะทราบได้เลยว่าทุกคนไม่สามารถจะพ้นกรรมได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ




