การดำริของพระโพธิสัตว์เพื่อโพธิญาณ

 
สิริพรรณ
วันที่  16 มิ.ย. 2568
หมายเลข  50192
อ่าน  421

ดูก่อนพ่อชาลีพระลูกรัก พ่อจงมา จงเพิ่มพูนบารมีของพ่อให้เต็ม จงช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็นฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็นดังยานนาวาของพ่อ ไม่หวั่นไหวต่อสาครคือภพ พ่อจักข้ามฝั่งคือชาติ จักยังมนุษย์ทั้งเทวดาให้ข้ามด้วย.

ดูก่อนแม่กัณหาธิดารัก แม่จงมาจงเพิ่มพูนทานบารมีที่รักของพ่อ จงช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็นฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็นดังยานนาวาของพ่อ ไม่หวั่นไหวต่อสาครคือภพ พ่อจักข้ามฝั่งคือชาติ จักยกขึ้นซึ่งมนุษย์ทั้งเทวดาด้วย.

พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงกำหนดราคาพระราชกุมารกุมารีอย่างนี้แล้ว ทรงปลอบโยนแล้วเสด็จไปสู่อาศรม จับพระเต้าน้ำ เรียกชูชกมาตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ผู้เจริญ จงมานี่ แล้วทรงหลั่งน้ำลงในมือชูชก ทำให้เนื่องด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ผู้เจริญ พระสัพพัญญุตญาณย่อมเป็นที่รักยิ่งกว่าบุตรและบุตรีผู้เป็นที่รักกว่าร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่า เมื่อจะทรงยังปฐพีให้บันลือลั่นได้พระราชทานปิยบุตรทานแก่พราหมณ์ชูชก.

พระมหาสัตว์ ทรงบำเพ็ญบุตรทานแล้ว ยังพระปีติให้เกิดขึ้นว่า โอ ทานของเรา เราได้ให้ดีแล้วหนอ แล้วทอดพระเนตรดูพระกุมารกุมารีประทับยืนอยู่.
แต่นั้น พราหมณ์ผู้ร้ายกาจนั้น ก็เอาฟันกัดเถาวัลย์ ผูกพระกรแห่งพระกุมารกุมารีด้วยเถาวัลย์อีกข้างหนึ่งไว้ แต่นั้น พราหมณ์ถือเถาวัลย์ถือไม้เฆี่ยนตี นำพระกุมารกุมารีไปต่อหน้าที่นั่ง แห่งพระเวสสันดรสีวีราช

กาลนั้น ความเศร้าโศกมีกำลังเพราะปรารภพระโอรสพระธิดา ได้เกิดขึ้นแก่พระมหาสัตว์ พระหทัยมังสะของพระมหาสัตว์ได้เป็นของร้อน พระองค์ทรงหวั่นไหวด้วยความเศร้าโศก ดุจช้างพลายตกมันถูกไกรสรราชสีห์จับและดุจดวงจันทร์เข้าไปในปากแห่งราหู ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ด้วยภาวะของพระองค์ มีพระเนตรนองไปด้วยพระอัสสุชล เสด็จเข้าบรรณศาลาทรงปริเทวนาการอย่างน่าสงสาร.

ชูชกตีลูกๆ ผู้ไม่ประทุษร้ายต่อหน้าเรา แกช่างไม่อดสูแก่ใจบ้างเลยหนอ แกเป็นอลัชชีแท้ ใครที่มีความอดสูแก่ใจ จักกล้าตีทาสีทาสหรือคนใช้อื่นของเราที่สละให้แล้วได้ ชูชกแกด่าตีลูกๆ ที่รักของเราทั้งเห็นต่อตา ดุจคนหาปลาตีปลาที่ติดอยู่ในปากแห.

ชูชกทั้งด่าทั้งตีลูกๆ ที่รักของเราทั้งเห็นต่อตาทีเดียว โอ ตานี่ทารุณเหลือเกิน.

ครั้งนั้นความปริวิตกได้เกิดขึ้นแก่พระเวสสันดรมหาสัตว์ ด้วยทรงสิเนหาในพระโอรสและพระธิดาอย่างนี้ว่า พราหมณ์นี้เบียดเบียนลูกทั้งสองของเราเหลือเกิน เมื่อไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ดังนี้ เราจักติดตามไปฆ่าพราหมณ์เสียแล้วนำลูกทั้งสองกลับมา แต่นั้นกลับทรงหวนคิดได้ว่า การที่ลูกเราทั้งสองถูกเบียดเบียนเป็นความลำบากยิ่ง นั่นไม่ใช่ฐานะ การบริจาคปิยบุตรทานแล้วจะเดือดร้อนภายหลัง หาใช่ธรรมของสัตบุรุษไม่

ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์นั้นทรงอนุสรณ์ถึงประเพณีแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในขณะนั้นแต่นั้นพระองค์ทรงดำริว่า พระโพธิ์สัตว์ทั้งปวงไม่ทรงบริจาคมหาบริจาค ๕ ประการ คือ บริจาคทรัพย์ บริจาคอวัยวะ บริจาคชีวิตบริจาคบุตร บริจาคภรรยา หาเคยเป็นพระพุทธเจ้าได้ไม่ ก็ตัวเราก็เข้าอยู่ในจำพวกพระโพธิสัตว์เหล่านั้น หากเราไม่บริจาคบุตรและธิดา ก็ไม่อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ทรงดำริฉะนี้แล้ว ยังสัญญาให้เกิดขึ้นว่า แน่ะ เวสสันดรเป็นอย่างไร ท่านไม่รู้ความที่บุตรและบุตรีที่ให้เพื่อเป็นทาสทาสีแก่ชนเหล่าอื่น จะนำมาซึ่งความทุกข์ดอกหรือ เราจักตามไปฆ่าชูชกด้วยเหตุไรเล่า แล้วทรงดำริต่อไปว่า ขึ้นชื่อว่าบริจาคทานแล้วตามเดือดร้อนภายหลัง หาสมควรแก่เราไม่ ทรงตัดพ้อพระองค์เองอย่างนี้แล้ว ทรงอธิษฐานสมาทานศีลมั่นโดยมนสิการว่า ถ้าชูชกฆ่าลูกทั้งสองของเรา จำเดิมแต่เวลาที่เราบริจาคแล้วเราจะไม่กังวลอะไรๆ ทรงอธิษฐานมั่นฉะนี้แล้ว เสด็จออกจากบรรณศาลาประทับนั่ง ณ แผ่นศิลา แทบทวารบรรณศาลา ดุจปฏิมาทองคำฉะนั้น.

ฝ่ายชูชกตีพระชาลีและพระกัณหาชินาต่อหน้าพระที่นั่งแห่งพระมหาสัตว์ นำไป.

๑๐. เวสสันตรชาดก ทรงบําเพ็ญทานบารมี

ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
สิริพรรณ
วันที่ 16 มิ.ย. 2568

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ราหุล อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในโสตะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในกาย ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในใจ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า จิตหลุดพ้นแล้ว ดังนี้. อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี.

๑. จักขุสูตร ว่าด้วยอายตนะมีจักษุเป็นต้นไม่เที่ยง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สิริพรรณ
วันที่ 16 มิ.ย. 2568

* พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ ยิ่งกว่าใครทั้งหมดที่จะตรัสรู้ความจริงเพื่อให้คนอื่นได้รู้ด้วย

*พระมหากรุณามากแค่ไหน ไม่ว่าใครจะอยู่ที่ไหน เมืองใด เสด็จไป ประทับที่โรงช่างหม้อ ไม่ได้สะดวกสบายอะไร เพื่ออนุเคราะห์คนที่สามารถจะเข้าใจธรรมได้

* เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ทุกคำมีค่ายิ่งกว่าความลำบากใดๆ จะเดินไปกี่ก้าวนานเท่าไหร่ พระมหากรุณาเห็นว่าถ้าเขาไม่ได้เริ่มปลูกฝังความเข้าใจถูก ในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริง

* ผู้ฟังตัองฟังเพื่อเข้าใจคำแต่ละคำซึ่งมีค่ามาก เพราะเหตุว่ากว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ทรงตรัสรู้ก็ได้ทรงบำเพ็ญเพียรด้วยพระบารมีนานมากกว่าจะได้ตรัสรู้

* การบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน ก็ยังไม่เป็นการเคารพอย่างสูงสุด เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้ทรงหวังดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะ แต่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อหวังให้สาวกได้ดับกิเลสเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย แต่ก่อนที่จะดับกิเลสได้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรงและต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง

*ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เราเป็นคนดี ให้เราเข้าใจถูกต้อง ให้เราขัดเกลากิเลส

กิเลสทั้งหลายเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ภายในตัวเอง ไม่ได้อยู่ไกลเลย เป็นสิ่งไม่ดีที่มีอยู่ในจิตใจ เป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมต่างๆ และจะเป็นผู้ที่ได้รับวิบาก คือ ผลของอกุศลกรรมนั้นๆ เองด้วย

*สาระสำคัญของชีวิตไมได้อยู่ที่กิน นอน นอน กิน ติดข้อง แล้วก็ตายไป แต่อยู่ที่การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก

*คุณของพระธรรมมากมายมหาศาล จากความไม่รู้เลยจนเป็นความเข้าใจละเอียดขึ้น จนกระทั่งไม่ประมาทในแต่ละคำ ไม่ใช่เพียงแค่เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอดีตก็แจ่มแจ้ง เพราะว่าชาตินี้ก็เป็นอดีตของชาติหน้าแล้ว แจ่มแจ้งไหม และอนาคตต่อไปก็เป็นอย่างนี้ ต้องมีวัฏฏะเป็นมูลทำให้เกิดทุกข์ แม้แต่เพียงลืมตาเห็นก็แสวงหาสิ่งต่างๆ เพื่อร่างกาย เพื่อความเป็นอยู่

*ไม่มีตา จะมีสิ่งที่กำลังถูกเห็นได้ไหมเดี๋ยวนี้? ไม่ได้ เริ่มรู้ความจริงว่าไม่มีใครสักคนเดียว แต่มีสิ่งที่เป็นอย่างนั้น เกิดขึ้น จึงเป็นอย่างนั้น นี่เป็นความจริงถึงที่สุดที่ใครๆ ก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก แต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง คือ ธรรมแต่ละหนึ่ง

*ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แต่เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น หนทางที่จะเข้าใจความจริง คือ ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและรู้ว่าเป็นคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้หนทางที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับ ไม่ใช่เรา

*การเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงฟังคำของพระองค์ แต่ประพฤติปฏิบัติตามด้วย จึงจะชื่อว่าเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยมีพระองค์เป็นที่พึ่ง

หนทางละ ละด้วยความเข้าใจ

เกิดเป็นทุกข์

ถ้าไม่เกิดก็ไม่ทุกข์ ทุกข์มีเพราะการเกิด

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๐

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๑

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๒

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๓

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๔

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๕

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๖

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๗

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 16 มิ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 16 มิ.ย. 2568

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
talaykwang
วันที่ 21 มิ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณและยินดียิ่งในกุศลผู้มีคุณทุกท่านทุกประการ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ