ถ้าจะเป็นผู้ประกอบความเพียร

 
preechacupr
วันที่  19 มิ.ย. 2568
หมายเลข  50213
อ่าน  164

คัดจาก อปัณณกสูตร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัย นี้ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอาวรณิยธรรม ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการ นั่งตลอดวัน ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอาวรณิยธรรม ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดยามต้นแห่งราตรี ตลอดยามกลางแห่งราตรี ย่อมสำเร็จสีหไสยา โดยข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอัน จะลุกขึ้นไว้ในใจ ย่อมลุกขึ้นชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอาวรณิยธรรม ด้วยการเดิน จงกรม ด้วยการนั่งตลอดปัจฉิมยาม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบ ความเพียรอย่างนี้แล ฯ
ถ้าจะเป็นผู้ประกอบ ความเพียร ตัองนอนวันละ ๔ ชั่วโมง (มัชฌิมยาม) ใช่ไหมอาจารย์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 20 มิ.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำคัญที่การเห็นประโยชน์ของพระธรรม ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เพราะผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมแล้ว เวลาส่วนใหญ่ก็ให้กับสิ่งที่มีค่าที่สุดนี้ ไม่มีกฏตายตัวว่าจะนอนพักผ่อนกี่ชั่วโมง เป็นต้น ทุกอย่างเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

ขอกล่าวถึงคำว่า จงกรม หรือ รูปศัพท์ของภาษาบาลี คือ จงฺกม หมายถึงการก้าวเดิน การก้าวไปตามลำดับ ซึ่งเป็นการเดินตามปกติ ไม่มีรูปแบบ ไม่มีกฏเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น สำหรับผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะกระทำอะไร อยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม สติก็สามารถเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงในขณะนั้นได้ เป็นชีวิตที่ปกติจริงๆ และเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ที่สำคัญขึ้นอยู่กับความเข้าใจเป็นหลัก ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างถูกต้องแล้ว ก็อาจจะหวั่นไหวหรือติดที่คำว่าจงกรม แล้วคิดที่จะทำจงกรมเพราะเข้าใจผิดว่าจงกรมเป็นรูปแบบของการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการดำเนินทางผิด ไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญซึ่งสามารถเริ่มอบรมได้ในชีวิตประจำวันด้วยการฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริง มั่นคงในหนทางที่ถูกต้อง ครับ


คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้
(เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง)

"สำหรับเรื่องของการเดินจงกรม อิริยาบถของคนเราในชีวิตประจำวัน ตามปกติแล้ว จะพ้นไปจากการนั่ง นอน ยืน เดิน ไม่ได้ส่วนการคลาน เหยียด คู้ ฯลฯ ก็เป็นเรื่องปลีกย่อย อิริยาบถใหญ่ คือ การนั่ง นอน ยืน เดิน ส่วนท่านจะมีอิริยาบถ อย่างใด มากน้อย ต่างกันอย่างไร แล้วแต่อาชีพ ... ฯลฯ และการสะสมอัธยาศัย แต่ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน ... ฯลฯ สติ สามารถ ระลึกรู้ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ (ทางหนึ่งทางใด) ตามปกติ ตามความเป็นจริง เพราะว่า ปัญญา สามารถประจักษ์ ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง โดยความเป็นอนัตตา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

พระผู้มีพระภาคฯ ก็ทรงนั่ง นอน ยืน เดิน ตามปกติ เช่น เมื่อทรงจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ ส่วนภายในพระวิหารเชตวัน นอกจากทรงนั่ง นอน ยืน พระองค์ก็ทรงเดินด้วย เป็นการจงกรม เป็นปกติค่ะ เพราะว่าบางคน นั่งมาก ก็อึดอัด นอนมาก อาจจะไม่ค่อยสบาย เป็นต้น อิริยาบถทั้ง ๔ นี้ ถ้าเป็นไปได้ ควรจะเสมอกัน การนอนนั้น น้อยที่สุด ก็ไม่เป็นไรเลย ดังเช่นท่านที่ถือธุดงค์ ท่านไม่นอนเลย แม้เวลาหลับ ท่านก็นั่งหลับได้

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า แล้วแต่ว่า อิริยาบถใด จะเหมาะควรกว่าอิริยาบถอื่น ตามเหตุปัจจัย โดยคำนึงถึงประโยชน์ การเดินไปมา ในขณะนั้นเรียกว่า จงกรม จงฺกม คือ การก้าวไปตามลำดับ ซึ่ง หมายถึง การเดิน แต่ถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียด จะเข้าใจผิดว่า เวลาจะเจริญวิปัสสนา ก็ต้องลุกขึ้นมา เดินจงกรม นั่นไม่ใช่ความเห็นถูก ไม่เป็นปกติ เป็นการจงใจเลือกอิริยาบถ ไม่ใช่ การระลึกรู้ลักษณะ ของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ปัญญาสามารถเกิดได้ ประจักษ์แจ้งได้ ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง นอน ยืน เดิน"


... ยินดีในกุศลของคุณ preechacupr และทุกๆ ท่านครับ ...

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ